ผลงานมังงะสร้างชื่อของอาจารย์ โจจิ โมริคาว่า ที่เริ่มก้าวกันมาตั้งแต่หลายคนยังเรียนอยู่ชั้นประถม จนตอนนี้เรียนจบ มีงานทำ หรือถึงขั้นแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วก็ยังคงก้าวไม่เลิก ด้วยจำนวนเล่มที่มากถึง 127 เล่ม (และยังไม่จบ) เป็นมังงะที่เน้นความสมจริงสมจัง และสะท้อนแง่มุมต่างๆ ของวงการหมัดมวยออกมาได้อย่างลึกซึ้ง
เช่นเดียวกับเรื่องราวของตัวละคร “ไบรอัน ฮอว์ก” ที่เราหยิบยกมาพูดถึงกันในวันนี้ ตอนนี้หลายคนอาจจะกำลังเลิกคิ้วสงสัยว่า “ไบรอัน ฮอว์ก นี่มันใครกันนะ?” ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เนื่องจากตัวละครตัวนี้ไม่ใช่ตัวละครหลัก มีบทบาทปรากฏอยู่บนหน้ากระดานเพียงไม่กี่เล่ม ก่อนจะหายไปตลอดกาล อย่างไรก็ตามอาจารย์ โจจิ โมริคาว่า ผู้เขียนกลับนำเสนอ “เรื่องราวการล่มสลายของอาชีพนักมวย” ผ่านตัวละครนี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม สมจริงไม่ต่างจากเรื่องราวของนักมวย หรือนักกีฬาผู้ตกอับที่เราพบเจอได้ในโลกความเป็นจริงหลาย ๆ คน
ไบรอัน ฮอว์ก คือใคร? เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตัวละครนี้? และชีวิตของเขาสะท้อนความล่มสลายของนักกีฬาที่มีพรสวรรค์ แต่ไร้วินัย และหัวจิตหัวใจที่เข้มแข็งอย่างไร?
เติบโตจากความยากแค้น
“ผมเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ที่มีหน้าที่ปีนหน้าต่างเข้าไปปลดล็อกประตูให้กับพวกพี่ๆ ในแก๊ง ในกลุ่มอาชญากรเล็กๆ นี้ นี่คือโรงเรียนของผม และผมก็เป็นนักเรียนเกรดเอที่กำลังดื่มด่ำกับชีวิตยามค่ำคืนและแสงสีซะด้วย” อดีตนักมวยแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตอย่าง ไมค์ ไทสัน กล่าวกับ Sports Illustrated ถึงชีวิตวัยเด็กของตัวเอง
Photo : bigfightweekend.com
เช่นเดียวกับยอดนักมวยอีกหลายคนเช่น เทเรนซ์ ครอว์ฟอร์ด แชมป์โลกไร้พ่ายรุ่นไลท์เวลเตอร์เวต 4 สถาบัน ที่เติบโตมาในเมืองโอมาฮ่า ซึ่งเป็นชุมชนของชาวแอฟริกัน-อเมริกัน เป็นกลุ่มใหญ่ที่ยากจนและต้องใช้ชีวิตแบบหาเช้ากินค่ำ และมีอยู่หนึ่งครัวเรือนที่อัดแน่นไปด้วยสมาชิกเป็นสิบคน
หรือแม้นักมวยจากโลกมังงะอย่าง ไบรอัน ฮอว์ก ที่เป็นพระเอกของบทความนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาชีวิตวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความยากลำบากแสนสาหัส โดยเขาเติบโตมาจากย่านสลัม ของมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่จำความได้ชีวิตของ ฮอว์ก ก็มีแต่คำว่า “การต่อสู้” เพราะในสภาพสังคมที่เขาอยู่มีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดจากความโหดร้ายของชีวิตข้างถนน
นับครั้งไม่ถ้วนที่ชีวิตของ ฮอว์ก แขวนอยู่บนเส้นด้าย เบื้องหน้ามีปืนและมีดที่พร้อมจะปลิดชีวิตเขา แต่ ฮอว์ก ก็สามารถยืนหยัดมีชีวิตได้ด้วยพลังของกำปั้นตัวเอง
อาจจะเรียกได้ว่าชีวิตวัยเด็กของ ฮอว์ก นั้นยากลำบากยิ่งเสียกว่าชีวิตของนักชกชื่อดังในโลกแห่งความเป็นจริงหลายคนเสียอีก เพราะถึงแม้พวกเขาเหล่านั้นจะแสนขัดสน แต่สิ่งเหล่านั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นพลังให้ฮึดสู้ เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งสองกำปั้นที่มีจะนำพาไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งไม่ใช่สำหรับ ฮอว์ก
ความลำบากที่ ฮอว์ก ประสบพบเจอนั้นได้ลบความคิดด้านสว่างในจิตใจของเขาไปเสียหมดสิ้น เขาเพียงแค่ต้องการทำลายคนอื่นๆ ไปเรื่อยๆ ดังความเชื่อที่ว่า “โลกใบนี้มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด” จนชักพา ฮอว์ก ดำดิ่งสู่ก้นบึ้งอันมืดมืด เขาเสพติดการใช้ความรุนแรงชนิดถอนตัวไม่ขึ้น สิ่งเดียวที่ค้างคาในใจคือ การฆ่าคนมันผิดกฎหมาย เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ทั้งๆ ที่ปรารถนามันเหลือเกิน
ดังนั้นเรียกได้ว่าจิตใจและความนึกคิดต่างๆ ของ ฮอว์ก นั้นโดนสังคมรอบข้างทำลายจนย่อยยับป่นปี้มาแล้วตั้งแต่แรก เขาไม่ได้หวังถึงชีวิตที่ดีขึ้น ขอแค่ได้เสวยสุขบนความทุกข์ของคนอื่นไปในแต่ละวันก็พอใจเแล้ว
จนกระทั่งวันหนึ่ง มิเกล เซล ยอดโค้ชมวยฝีมือดีก็ได้มาพบกับ ฮอว์ก โดยบังเอิญในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังอัดอันธพาลข้างถนนที่มีปืนจนร่วงไปกองกับพื้น เลือดไหลอาบเต็มตัว เซล รู้ทันทีว่าเบื้องหน้าของเขาคือเพชรเม็ดงามที่จะเปล่งประกายบนสังเวียนผืนผ้าใบได้อย่างแน่นอน
Photo : ippo.fandom.com
“มาต่อยมวยสิ นายจะมีสิทธิ์ฆ่าคนอย่างถูกกฎหมายเลยล่ะ” นี่คือประโยคที่ เซล ชักชวน ฮอว์ก ให้เข้าสู่โลกแห่งหมัดมวย ซึ่งแน่นอนว่าเด็กหนุ่มผู้บ้าคลั่งตอบรับด้วยความยินดี
นี่คือจุดกำเนิดของ ไบรอัน ฮอว์ก ผู้ที่จะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ยอดนักมวยในอนาคต และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจจะกล่าวว่าเขามีชีวิตวัยเด็กเหมือนกับ ไทสัน หรือ ครอว์ฟอร์ด ไม่ได้เสียทีเดียว เพราะถึงแม้ ไทสัน จะเติบโตมาจากความยากลำบาก มีนิสัยหลงใหลในความรุนแรง แต่เมื่อเข้าสู่โลกแห่งหมัดมวยเขาก็ได้รับการสั่งสอนจาก “กัส ดามาโต้” โค้ชผู้คอยเจียระไนให้ ไทสัน ให้เติบโตขึ้นทั้งฝีมือบนสังเวียน รวมถึงทัศนคติในการใช้ชีวิต
ส่วน ครอว์ฟอร์ด นั้น มีทัศนคติที่ว่าอยากจะใช้กำปั้นของตัวเองเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตัวเองและคนรอบข้างให้ดีขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งตรงกันข้ามกับ ฮอว์ก โดยสิ้นเชิง ที่นับตั้งแต่วันที่เป็นอันธพาลข้างถนน สู่วันที่เป็นนักมวยอาชีพเต็มตัว สิ่งที่อยู่ในความคิดและจิตสำนึกนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย มันยังคงเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและกระหายเลือดเช่นเดิม
ข้าเก่งที่สุดในโลก
สิ่งที่ ฮอว์ก เผชิญมาในวัยเด็กนั้นส่งผลโดยตรงกับตัวตนของเขาเมื่อกลายเป็นนักมวยอาชีพ เนื่องจากนับตั้งแต่จำความได้ ฮอว์ก ก็ยืนหยัดเหนือผู้อื่นด้วยพลังกำปั้นของตัวเอง ไม่เคยพ่ายแพ้หรือต้องก้มหัวให้ใคร จนเขาเชื่อมั่นอย่างมากว่าตัวเองนั้น “เก่งที่สุด”
Photo : ippo.fandom.com
ยิ่งไปกว่านั้น ฮอว์ก ยังมีความเชื่อมั่นที่ฝังลึกว่ายีนส์พันธุกรรมของตัวเอง ซึ่งเป็นคนผิวดำนั้นคือเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดตามธรรมชาติ ไม่ต้องใช้ความพยายามเหมือนพวกผิวเหลืองหรือผิวขาว ความสำเร็จก็ลอยมาหาโดยง่าย ดังนั้นไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคือ “การขาดวินัย”
ฮอว์ก นั้นแทบไม่เคยเอาจริงเอาจังกับการฝึกซ้อมเลย แต่ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแแกร่งทางพันธุกรรมที่ติดตัวก็เพียงพอแล้วที่เขาจะสามารถไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์โล รุ่นไลท์มิดเดิ้ลเวต (หรือ จูเนียร์มิดเดิ้ลเวต) แห่งสถาบัน WBC ด้วยผลงานชนะ 20 ไฟต์รวด ดังนั้นถึงจะเป็นจอมเหลวไหล แต่ในเมื่อยังสามารถทำเงินให้ตัวเองได้ มิเกล เซล ผู้เป็นโค้ชก็ปล่อยให้ ฮอว์ก ได้ทำตามที่ต้องการ เพราะเขาเองก็ไม่สามารถออกคำสั่งบังคับ ฮอว์ก ได้เช่นกัน
หลังจากมีเข็มขัดแชมป์โลกไว้ในครอบครอง ฮอว์ก ก็ยิ่งหยิ่งผยองขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่อทราบข่าวว่าคู่ต่อสู้คนแรกที่จะมาท้าชิงตำแหน่งคือ “ทากามูระ มาโมรุ” นักมวยจากประเทศญี่ปุ่น ฮอว์ก มั่นใจว่ายังไงเสียเขาก็ไม่มีทางแพ้เจ้าลิงเหลืองคนนี้หรอก ต่อให้ไม่ต้องฝึกซ้อมก็ตาม
Photo : @RawMangaFights
“หมัดของนายแม่งเบาเหมือนการจับมือทักทายเลยว่ะ” ฮอว์ก บอกกับ ทากามูระ ยิ่งไปกว่านั้นในงานแถลงข่าวของการต่อสู้ไฟต์นี้ ฮอว์ก ยังเย้ยหยันออกมาอีกว่า
“ถ้าผู้หญิงญี่ปุ่นได้ยีนส์ชั้นเลิศของฉันไปมันคงเพอร์เฟ็คต์เลยล่ะ มาหาฉันที่ห้องพักได้เลยนะ ฉันยินดีมอบให้มันฟรีๆ”
หลังจากนั้นในช่วงก่อนที่ไฟต์การชกจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่วัน ฮอว์ก ก็หายตัวไปพร้อมกับบรรดาสาวๆ ข้างกายของเขานานถึง 9 วัน ไม่ยอมมาฝึกซ้อมตามตาราง แสดงให้เห็นว่าเขาไม่แยแส ทากามูระ โดยสิ้นเชิง และคิดว่าต่อให้ชาวญี่ปุ่นฝึกซ้อมหนักยังไง ก็ไม่มีทางก้าวข้ามพรสวรรค์ รวมถึงยีนส์อันแข็งแกร่งของเขาไปได้
เมื่อวันแห่งศึกชี้ชะตามาถึง ทั้ง ฮอว์ก และ ทากามูระ ต่างก็ก้าวขึ้นสังเวียนด้วยความมั่นใจ ก่อนที่ระฆังเริ่มชกจะดังขึ้น ทั้งคู่ก็พุ่งเข้าหากัน พร้อมเดินหน้าลุยแหลก
Photo : ippo.fandom.com
ในช่วงแรกของการชก ฮอว์ก ใช้ความได้เปรียบทางสรีระร่างกายไล่ต้อน ทากามูระ เสียจนมุม ถึงขั้นที่ต้องลงไปให้กรรมการนับตั้งแต่ในยกที่ 2 ทำให้เหยี่ยวดำจากอเมริกาคนนี้ยิ่งมั่นใจเข้าไปอีกว่า ทากามูระ ก็แค่เป็นเหยื่ออีกคนให้เขามาเชือด
ฮอว์ก รวดเร็วกว่า ทากามูระ อย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามถ้าใครเคยอ่านมังงะเรื่องก้าวแรกสู่สังเวียนมาก็จะรู้ว่าจุดเด่นของ ทากามูระ คือพลังหมัดอันหนักหน่วง รวมถึงทักษะการชกอันแพรวพราว ซึ่งเป็นผลลัพธ์มาจากการฝึกซ้อมอย่างหนักแทบประดาตาย
เมื่อการต่อสู้เข้าสู่ยก 3 ทากามูระ ก็เริ่มจับทางได้ เขาทำลายกำแพงด้านพันธุกรรมร่างกายที่ด้อยกว่าด้วยทักษะที่เหนือกว่า ก่อนจะส่ง ฮอว์ก ลงไปให้กรรมการนับได้เช่นกัน
Photo : @RawMangaFights
“นายต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ นั่นไม่ใช่หมัดที่มาจากความโชคดี” มิเกล เซล บอกกับ ฮอว์ก ในช่วงพักยก ซึ่งแน่นอนว่า ฮอว์ก ไม่สนใจคำเตือนนี้ ในใจเขาคิดเพียงว่าที่ไอ้ลิงเหลืองนั่นโจมตีเขาได้ก็แค่ลูกฟลุก
หลังจากยก 4 เป็นต้นไปทั้งคู่ก็ผลัดกันรุกผลัดกันรับกันอย่างดุเดือด ซึ่งด้วยเหตุนี้เองจุดอ่อนของ ฮอว์ก จากการขาดวินัยก็เริ่มเผยให้เห็น นั่นคือการ “หมดแรง” เนื่องจากไม่ได้ฟิตซ้อมอย่างจริงจัง ทากามูระ จึงใช้จุดอ่อนนี้ค่อยๆ ไล่ต้อนไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย ฮอว์ก ก็เผยสัญชาตญาณดิบออกมา เขาไม่สนใจการชกมวยอีกต่อไป เขาเพียงต้องการฆ่าชาวญี่ปุ่นที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น
อย่างไรก็ตามผลสุดท้ายของไฟต์นี้ ก็เป็นทางด้าน ทากามูระ ที่สามารถเอาชนะน็อค ไบรอัน ฮอว์ก ได้ด้วยการน็อคในยกที่ 8 ปิดตำนานไร้พ่ายของเหยี่ยวดำจากอเมริกาได้อย่างสวยงาม พร้อมขึ้นเป็นแชมป์โลกไลท์มิดเดิ้ลเวตคนใหม่แห่ง WBC
จมไม่ลง
เมื่อพ่ายแพ้ต่อ ทากามูระ ฮอว์ก ก็ตัดสินใจแขวนนวมทั้งๆ ที่ยังหนุ่ม เนื่องจากเขาไม่สามารถก้าวขึ้นสู่สังเวียนผ้าใบได้อีกแล้ว
Photo : mangahere.co
อาจารย์โจจิ โมริคาว่า ได้เล่าเรื่องราวของ ฮอว์ก ให้ผู้อ่านได้เห็นว่าหลังจากวันนั้น ฮอว์ก ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง รอบๆ ระเกะระกะด้วยขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมาก และเจ้าตัวเองก็อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมอย่างหนัก ถึงขั้นที่ว่าเมื่อ “เดวิด อีเกิ้ล” นักมวยเพื่อนร่วมรุ่นเดินทางมาเยี่ยม เขาถึงกับตกใจกับภาพที่ได้เห็น
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ถ้าไม่อยากตายก็ออกไปซะ!” ฮอว์ก ไล่เพื่อนของตัวเองอย่างไม่ใยดี
และเมื่อ อีเกิ้ล พูดถึงชื่อ ทากามูระ ขึ้นมา ฮอว์ก ก็ดูเปลี่ยนไปทันที เขาโยนแก้วในมือทิ้งด้วยท่าทางหวาดกลัว ก่อนจะตะคอก อีเกิ้ล ว่าอย่าพูดถึงชื่อนี้อีก
นั่นคือเหตุการณ์สุดท้ายที่ผู้อ่านได้รับรู้ถึงชะตากรรมของตัวละคร ไบรอัน ฮอว์ก หลังจากนี้ชีวิตของเขาจะเป็นเช่นไรก็ไม่อาจคาดเดาได้ แต่ถ้าถามถึงสาเหตุที่ ฮอว์ก พังทลายทั้งๆ ที่เพิ่งแพ้แค่ไฟต์เดียว นั้นค่อนข้างชัดเจน
ถึงแม้ ไบรอัน ฮอว์ก จะมีปูมหลังชีวิตที่คล้ายกับ ไมค์ ไทสัน แต่เรียกได้ว่าเส้นทางอาชีพของทั้งคู่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะถึงแม้ ไทสัน จะมีช่วงชีวิตที่ถึง “จุดตกอับ” ก็ตาม แต่มันก็เกิดขึ้นหลังจากที่เขาแขวนนวมไปแล้ว ในขณะที่ ฮอว์ก นั้นพังทลายตั้งแต่ยังอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพ
ดังนั้น ไบรอัน ฮอว์ก จึงไม่ใช่ ไมค์ ไทสัน แต่เป็น “ซันนี ลิสตัน” ในเวอร์ชั่นมังงะเสียมากกว่า โดย ลิสตัน นั้นคือหนึ่งในอดีตนักมวยแชมป์เฮฟวี่เวตฝีมือดี แต่ด้วยทิฐิที่พกอยู่เต็มกระเป๋า ทำให้หลังจากที่พ่ายแพ้ต่อ “มูฮาหมัด อาลี” ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นนักมวยหน้าใหม่ ดูด้อยกว่า ลิสตัน ในทุกด้าน ทำให้ทิฐิที่อยู่ในจิตใจนั้นพังทลายลงมาฝังร่างของตัวเอง
Photo : www.stripes.com
ลิสตัน พ่ายแพ้ต่อ อาลี ถึง 2 ครั้งซ้อน และหลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย จากยอดมวยกลายเป็นคนสำมะเลเทเมา ก่ออาชญากรรม ยุ่งเกี่ยวกับอันธพาลมาเฟีย จนสุดท้ายก็ต้องพบกับจุดจบชีวิตที่น่าเศร้า ลิสตัน เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในบ้านพัก เนื่องจากใช้ยาเสพติดเกินขนาด
ไม่ใช่แค่ในวงการหมัดมวยเท่านั้น แม้แต่ในวงการลูกหนังก็เช่นเดียวกัน “รอย แคร์โรลล์” น่าจะเป็นตัวอย่างที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ไบรอัน ฮอว์ก ที่สุด เนื่องจากอดีตนายทวารทีมชาติไอร์แลนด์เหนือคนนี้ ครั้งหนึ่งเคยเฝ้าเสาให้กับสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ด้วยความผิดพลาด รวมถึงศักยภาพที่ไม่ดีพอ ทำให้สุดท้ายเขาต้องกระเด็นออกจากทีมปีศาจแดง ชีพจรลงเท้าสู่ทีมที่เล็กลง
Photo : www.theguardian.com
เมื่อทิฐิที่อยู่ในจิตใจว่า “ข้าเจ๋ง ข้าเคยเป็นมือหนึ่งแมนยูฯนะเว้ย” มาเจอกับเส้นทางชีวิตที่ค่อยๆ ถอยหลังลงคลอง แคร์โรลล์ ก็ค่อยๆ กลายเป็นไอ้ขี้เมา วันๆ ดื่มแต่เหล้า ไม่สนใจแม้กระทั่งครอบครัว อย่างไรก็ตามในตอนสุดท้าย แคร์โรลล์ นั้นกลับตัวกลับใจได้ทัน รอดพ้นโศกนาฏกรรมชีวิตได้แบบหวุดหวิด ด้วยความคิดที่ว่า
“ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป สักวันหนึ่งเราคงต้องตายอย่างโดดเดี่ยว”
ไบรอัน ฮอว์ก ก็ไม่ต่างกันถึงแม้ว่าบุคลิกของเขาจะดูเย่อหยิ่ง ก้าวร้าว ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด แต่ในวินาทีที่เขาตระหนักได้ว่าตัวเองต้องแพ้ ทากามูระ เขากลับรู้สึกกลัวเข้าไปถึงขั้วหัวใจ เนื่องจากหลักการ “ผู้แข็งแกร่งคือผู้อยู่รอด” ที่เขายึดถือมาตลอดกำลังกัดกินตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฮอว์ก ดำรงชีวิตด้วยทิฐิที่สูงลิบ เขารู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีคุณค่าเพราะเขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ดังนั้นเมื่อความเป็นจริงได้มากระทบใบหน้าในรูปแบบของกำปั้น และบอกเขาว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกต่อไป ฮอว์ก ก็รู้สึกสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปโดยสิ้นเชิง
Photo : vignette.wikia.nocookie.net
ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจโดยง่าย ทั้งฮอว์ก, แคร์โรลล์, และลิสตัน คือตัวอย่างของคนที่ “จมไม่ลง” ไม่สามารถรับมือกับทิฐิในใจได้ ถึงแม้ว่าชีวิตจะพังทลายไปต่อหน้าก็ตาม
ดังนั้นมาถึงตรงนี้ก็น่าจะเห็นภาพชัดเจนแล้วว่า “ความล่มสลาย” ของอาชีพนักมวยที่อาจารย์โจจิ โมริคาว่า ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดออกมานั้นเป็นเช่นไร โดยเริ่มจากพื้นฐานชีวิตที่ย่ำแย่ หล่อหลอมให้เกิดทัศนคติที่ผิดเพี้ยน และจากการที่ไม่ได้รับการสั่งสอนอย่างถูกวิธี เมื่อมีชื่อเสียงเงินทองเข้ามาก็ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่
ความขาดวินัย หลงตัวเอง ประมาทคู่ต่อสู้ ทิฐิสูงลิบฟ้า จนสุดท้ายสิ่งเหล่านี้ก็ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเองอย่างแสนสาหัสเมื่อพบกับความพ่ายแพ้ และได้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งไม่อาจเป็นไปดังหวัง แต่นั่นก็อาจจะสายเกินไปแล้ว
ดังนั้นสุดท้าย ไบรอัน ฮอว์ก หลังจากพ่ายแพ้ต่อ ทากามูระ จะมีชะตาชีวิตต่อไปเช่นไร? จะเป็นคนที่จมไม่ลงไปเรื่อยๆ ดำดิ่งสู่ห้วงแห่งทิฐิที่ดำมืดไร้ทางออก จนพบจุดจบเหมือนกับ ซันนี่ ลิสตัน หรือจะพบจุดเปลี่ยนชีวิต และพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากหลุมลึกเพื่อมีชีวิตรอดเหมือน รอย แคร์โรลล์ ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง