หากเป็นเด็กไทยทั่วไป ก็คงเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 ระดับอุดมศึกษา บางคนอาจกำลังเริ่มอยู่ในวัยทำงาน และอีกๆหลาย อาจยังไม่รู้อนาคตของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
พงศกร สิทธิเดช หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ แสงมณี แสงมณีมวยไทยยิม ก้าวไปถึงจุดที่เรียกว่าความสำเร็จ และผ่านประสบการณ์แบบที่ คนอายุเท่านี้หลายๆ คนไม่เคยก้าวมาถึง
เขามีเงินเก็บหลักล้านตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งยอดมวย ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของวงการมวยไทย ตอนอายุ 16 ปี เป็นนักมวยไทยค่าตัวเรือนแสน มีไฟต์ชกทั้งในและต่างประเทศ
ปัจจุบัน เขาเป็นเจ้าของมวยของตัวเอง ตั้งแต่อายุ 21 ปี รวมถึงยังฝากผลงานชั้นเซียน ด้วยการล้างแค้น ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม ไปได้ และนี่คือเรื่องราวของ นักชกผู้ได้รับสมญานามว่า “ทารกเงินล้าน” ผู้ผ่านชีวิตทุกรสชาติ
ย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปีที่แล้ว ณ อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ครอบครัวของนายหนูกัน นางเพ็ญศรี สิทธิเดช ได้กำเนิดลูกชายมา 1 คน โดยอาชีพหลักของครอบครัวนี่ก็มาจากเกษตรกรที่รายได้แทบไม่พอกับรายจ่าย ยังดีที่ผู้นำครอบครัวอย่างนายหนูกัน มีรายได้พิเศษจากการชกมวยไทย
ด้วยความที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ วิชาเดียวที่มีติดตัวในเวลานั้นก็คือศิลปะการต่อสู้ จึงเป็นสิ่งเดียวที่จะถ่ายทอดส่งต่อให้กับลูกชายสำหรับเอาไว้หาเลี้ยงชีพในอนาคต “บอล” พงศกร สิทธิเดช หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ แสงมณี จึงได้รับศาสตร์ความรู้แขนงนี้ติดตัวมาตั้งแต่แบเบาะ
พออายุได้ 6 ขวบ ร่างกายของ พงศกร เริ่มแข็งแกร่งพอที่จะปะทะกับคู่ต่อสู้ได้ ผู้เป็นพ่อ ก็ส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนขึ้นสู่สังเวียนการต่อสู้เป็นครั้งแรก
“ขึ้นเวทีครั้งแรกก็ตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูก ต่อยตามที่พ่อสอนสั่ง ครั้งแรกก็รู้สึกชอบเลย ชอบมากด้วย เคยเห็นพ่อต่อยแล้วดูเหมือนมันสนุก ต่อยแล้วได้ตังก็อยากจะต่อยเหมือนพ่อ ก่อนได้ขึ้นชกก็ฝึกซ้อมมาบ้าง เมื่อก่อนไม่มีเป้า ก็จะใช้หมอนเป็นเป้า”
“สองร้อยที่เป็นเงินก้อนแรกก็ดีใจมาก แต่ก่อนครอบครัวยากจน ยากจนมาก จน...ถึงขนาดต้องต่อไฟฟ้าจากบ้านคนอื่นมาใช้ ห้องน้ำก็ต้องไปขอใช้บ้านคนอื่น เงินก้อนนั้นก็ช่วยที่บ้านได้ ก็เลยทำให้ผมอยากต่อยมวยมาตั้งแต่ตอนนั้น”
เพียงไฟต์แรกในการชกมวย พงศกร ก็สามารถคว้าชัยชนะได้ พร้อมกับรับค่าตัว 200 บาท ถือเป็นเงินก้อนแรกที่ แสงมณี หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอ ที่เป็นค่าอาหารให้ครอบครัวสิทธิเดชไปอีกหลายมื้อ
พรสวรรค์ บวกกับพรแสวง ที่ต้องการให้ ครอบครัวก้าวพ้นความยากจน ก็ทำให้เขาฉายแววตั้งแต่เด็กๆ เขามีโอกาสตระเวนไปชกมวยตามเวทีต่างๆในพื้นที่จังหวัดของแก่นและใกล้เคียง
พงศกร ขยับไปเดินสายไปชกไปทั่วประเทศ จนเริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนในแวดวงหมัดมวยเดินสายทั่วไป ถึงขนาดถูกยกให้เป็น “ยอดไอ้แอ้ดเดินสาย” (“ไอ้แอ้ด” คือคำที่วงการมวยเรียก นักมวยรุ่นเล็ก ที่มีน้ำน้อยกว่า100 ปอนด์ หรือ 45 กิโลกรัม)
กระทั่งนักชกรุ่นจิ๋วที่แฟนมวยขนานนามว่า “ยอดไอ้แอ้ดเดินสาย” ได้มีโอกาสได้เข้ามาชกในเมืองกรุงครั้งแรก ในไฟต์ล้างตากับ วรวุฒิ ส.อารีย์ ที่คาใจกันมาตั้งแต่ต่างจังหวัด
ไฟต์นี้ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญเมื่อมีการถ่ายทอดสดให้แฟนมวยทั่วประเทศได้รับชมผ่านทางช่อง 9 (โมเดิร์นไนน์ทีวี) และเป็นทาง แสงมณี เอาชนะ วรวุฒิ ด้วยฟอร์มการชกอันยอดเยี่ยมเป็นที่ถูกอกถูกใจของแฟนหมัดมวยทั่วประเทศ
แถมผลงานยังไปเข้าตา พล.ต.ต.ดร.เสวก ปิ่นสินชัย โปรโมเตอร์ เจ้าของรายการ ศึกอัศวินดำ ที่ได้ดึงตัวมาชกในรายการศึกอัศวินดำ ในมวยรอบ “ทารกเงินล้าน”
การเข้าร่วมศึก อัศวินดำ กลายเป็นเวทีแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของ แสงมณี ทันทีเมื่อผงาดคว้าแชมป์มวยรอบ “ทารกเงินล้าน” พร้อมกับคว้าเงินรางวัลรวมไปถึงเงินอัดฉีดและเดิมพันมากกว่า 1 ล้านบาทในรายการดังกล่าว โดยเวลานั้นเขามีอายุเพียงแค่ 10 ขวบ
“ตอนได้แชมป์ ทารกเงินล้าน ก็ได้เงินรวมๆแล้วล้านสอง (1,200,000 บาท) ถือเป็นเงินล้านแรกที่หากได้ในการชกมวย” แสงมณี แสงมณีเสถียรมวยไทยยิม เผย
เส้นทางการชกมวยไทยในเมืองกรุงของ แสงมณี กำลังจะไปได้สวย แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อจากมีปัญหาเกิดขึ้นหลังจากได้ชกไปเพียงไม่กี่ไฟต์
“หลังจากจบศึกอัศวินดำ ผมก็ชกได้อีกประมาณ 5-6 ไฟต์ ก็เกิดปัญหาเกี่ยวกับการชกขึ้นนิดหน่อย ก็เลยเลือกกลับไปชกต่างจังหวัดเหมือนเดิม” แสงมณี เผย
เป็นเวลาเกือบ 3 ปีที่ แสงมณี หายหน้าหายตาไปจากวงการมวยเมืองกรุง เพื่อออกตระเวนเดินสายล่าเงินเดิมพันตามต่างจังหวัด จากมวยดาวรุ่งที่ถูกจับตามองก็ค่อยๆถูกลบเลือน กระทั่งพ่อเของเขาตัดสินใจ แสงมณี มาอยู่กับ “สารวัตรอ๊อด” พ.ต.ท.สุทธิชัย เทียนโพธิ์ เป็นผู้ดูแล พร้อมกับได้นามสกุลใหม่เป็น ส.เทียนโพธิ์
“พอมาอยู่กับสารวัตรอ๊อด ก็ได้มาซ้อมที่ค่าย 13 เหรียญของเฮียสมชาย (สมชาย นิติวนะกุล) ก็ได้พี่แสนชัย (แสนชัย ส.คิงสตาร์) เป็นคนซ้อมให้ ผมก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากพี่เขาเยอะเลย”
ที่ค่ายมวย 13 เหรียญ ย่านพระรามเก้า ถือเป็นแหล่งรวมนักมวยฝีมือดีรวมไปถึงครูมวยคุณภาพ ก็ทำให้ แสงมณี ได้วิชาดีๆติดตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก กระทั่งเขาได้มีโอกาสขึ้นชกเวทีมวยลุมพินี เป็นครั้งแรก
ลุมพินี ถือเป็น 1 ใน 2 สังเวียนในฝันของนักมวยไทยทุกคนที่อยากจะก้าวมาสัมผัสสักครั้งหนึ่ง ไฟต์แรกของ แสงมณี ในการชกที่นี่ก็ถูกวางคิวให้เป็นคู่สุดท้ายของรายการ (หลังจากคู่เอก)
ในขณะที่ แสงมณี กำลังอบอุ่นร่างกายและเตรียมตัวสำหรับขึ้นชก เสียงเชียร์ของแฟนมวยบนอัฒจรรย์ดึงกึกก้อง กระทั่ง แสงมณี เดินออกมาจากห้องพักเพื่อเตรียมขึ้นเวที เสียงที่ดังสนั่นเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ก็ค่อยๆเงียบลง หลังจากคู่เอกนำรายการจบลง
“ตอนที่ผมขึ้นชกแฟนมวยในสนามก็แทบจะเดินออกหมดแล้ว เหลือดูอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเมื่อจดจ้องไปที่คู่ชกข้างหน้า วันนั้นผมก็ชนะ เพชรดำ (เพชรดำ เพชรเกียรติเพชร) ค่าตัวที่ได้รับวันนั้นก็หมื่นห้า (15,000 บาท)”
6 เดือนต่อมาหลังจากออกไปทำฟอร์มชนะในเวทีอื่น 5 ไฟต์ติด แสนมณี ก็ได้กลับมายังสนามมวยลุมพินีอีกครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนี้ขยับมาชกเป็นคู่แรก โดยมี ซุปเปอร์เล็ก ว.สังข์ประไพ เป็นคู่ชก พร้อมกับขยับค่าตัวเพิ่มจากเดิมอีก 10,000 บาท มาเป็น 25,000 บาท แถมบรรยากาศการชกในครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิม เมื่อจำนวนแฟนมวยที่ดูเขาอยู่นั้นมากกว่าเดิมหลายเท่า
“ครั้งที่แล้วเรียกว่าคนดูหายไปหมดแล้ว แต่นี่คือการชกคู่แรกของรายการ แฟนมวยก็เข้ามากันเยอะ ยอมรับว่าตื่นเต้น ยิ่งเสียงเชียร์นี่ดังอื้ออึงไปหมด เรียกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ชกในบรรยากาศที่คนดูเยอะขนาดนี้” แสงมณี เผย
หลังจากก้าวมาเป็นนักชกระดับแถวหน้าของวงการมวย แสงมณี ส.เทียนโพธิ์ (ชื่อในเวลานั้น) ก็ได้ชกรายการใหญ่อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับทำสถิติชนะติดกันหลายไฟต์
แม้ว่าเจ้าตัวจะมาเสียสถิติแพ้คะแนนให้กับ ซุปเปอร์เล็ก ว.สังข์ประไพ ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2555 แต่ก็เพียงพอที่จะคว้ารางวัลมวยไทยยอดเยี่ยมแห่งปีของทั้งเวทีมวยลุมพินี และ เวทีมวยราชดำเนิน ในปีนั้นไปครอง ที่ถือเป็นนักมวยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำได้เช่นนี้
แสงมณี กลายเป็นขวัญใจของบรรดาเซียนมวยรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ โดยการเป็นนักชกที่สู้ด้วยมันสมอง จนถูกยกให้เป็น นักมวยที่มีไอคิวสูงที่สุดคนหนึ่งในเวลานั้น
รวมไปถึงการก้าวสู่ตำแหน่งแชมเปี้ยนมวยไทยถึง 4 รุ่นในระยะเวลา 10 เดือน เริ่มจากแชมป์รุ่นมินิฟลายเวตเวทีลุมพินี (105 ปอนด์), แชมป์รุ่นไลท์ฟลายเวตเวทีราชดำเนิน (108 ปอนด์), แชมป์รุ่นฟลายเวตเวทีราชดำเนิน (112 ปอนด์) และแชมป์รุ่นซูเปอร์ฟลายเวตเวทีมวยราชดำเนิน (115 ปอนด์)
ที่สำคัญในรอบ 10 เดือน แสงมณี ไต่ระดับค่าตัวการชกในแต่ละไฟต์ จาก 15,000 บาท ขยับมาเป็น 150,000 เพิ่มขึ้น 10 เท่าตัวในระยะไม่ถึง 1 ปี
ความเก่งของ “เจ้าบอล” แสงมณี ยังทำให้เขาได้มีโอกาส ไปชกมวยสากลสมัครเล่น เมื่อเขาคว้าเหรียญทองเยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทยในปี พ.ศ.2556
จนได้รับรางวัลนักชกยอดเยี่ยมมวยสากลสมัครเล่นเยาวชนประเทศไทยในปีดังกล่าวอีกด้วย นั้นก็ทำให้ สมาคมมวยสากลแห่งประเทศไทย ต้องการดึงตัวเขาเข้าสู่แคมป์ทีมชาติไทยสำหรับวางเป้าหมายเหรียญทองกีฬาโอลิมปิกเกมส์
1 ล้านบาท คือเงินค่าเสียโอกาสที่ แสงมณี ได้รับจากสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย ที่มี นายสุชัย พรชัยศักดิ์อุดม เป็นผู้ออกให้ หลังจากตัดสินใจเลือกที่จะเบนเข็มเข้ามาเดินสายชกมวยสากลสมัครเล่น ซึ่งตัวเลขเม็ดเงินอาจจะดูสูง แต่หากเทียบกับรายได้ที่เขาสูญเสียไป เงิน 1 ล้าน ถือว่าน้อยมาก
“จริงๆก็ยังอยากชกมวยไทยอยู่ แต่เมื่อมีการพูดคุยกันของผู้ใหญ่ ผมก็เลยเลือกที่จะไปต่อยมวยสากล แต่ก็ไปอยู่ได้เพียงแค่ 5 เดือนก็ตัดสินใจออกมา ด้วยปัญหาหลายๆ อย่าง ส่วนประเด็นเรื่องเงิน 1 ล้านที่ได้รับจากคุณสุชัย ก็เป็นการให้โดยเสน่หามากกว่า” แสงมณี เผย
หนึ่งในสาเหตุที่ “เจ้าบอล” แสงมณี ตัดสินใจเดินออกจากการชกมวยสากลสมัครเล่น ก็อยู่ที่การชกรอบ 8 คนสุดท้ายของศึกมวยสากลสมัครเล่นเยาวชนชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ พงศกร สิทธิเดช นักชกตัวแทนจากประเทศไทย แพ้คะแนน ไซแบค อูลู มานาร์เบค นักชกคีร์กิซสถาน
“ผมว่าผมชนะนะ ผมออกหมัดเข้าเป้ามากกว่าด้วย ใครๆก็มองว่าผมชนะ” แสงมณี เล่าย้อนถึงการชกครั้งนั้น ก่อนที่กรรมการจะชูมือให้นักชกจาก คีร์กีซสถานเป็นฝ่ายคว้าชัย
“แต่พอผลคะแนนออกมาผมแพ้ ก็ยัง งง ว่าแพ้ได้ไง มันเป็นช่วงที่มวยสากลไม่มีคะแนนขึ้นบอร์ดให้ดู ผมว่าไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ นั้นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมเริ่มไม่ชอบมวยสากล”
ข่าวการหนีออกจากแคมป์ทีมชาติของ “เจ้าบอล” แสงมณี กลายเป็นข่าวใหญ่ของวงการกีฬาอีกครั้ง ก่อนจะมีการเคลียร์ใจถึงปัญหาต่างๆ สุดท้ายนักชกเจ้าของฉายา “ขวัญใจนักเรียน” ตัดสินใจยุติการรับใช้ชาติ
“ก็มีหลายอย่างที่ทำให้ต้องตัดสินใจอย่างนั้น อย่างเช่นการฝึกซ้อมก็ไม่เป็นไปตามที่สัญญาไว้ ผมก็เลยเลือกออกมาดีกว่า ซึ่งใจจริงหากมีโอกาสผมก็อยากจะกลับไปต่อยมวยสากลนะ ไม่ใช่ว่าไม่เอาเลยทีซะทีเดียว แต่ก็ต้องดูรายละเอียดด้วย” แสงมณี เผยความจริงที่เกิดขึ้นกับเขา ในเวลานั้น
แสงมณี กลับมาชกมวยไทย อีกครั้ง โดยในศึกวันทรงชัย เวทีมวยราชดำเนิน ค่ำคืนวันที่ 1 ธ.ค.57 แสงมณี กำลังจะเป็นฝ่ายกำชัยชนะในคู่เอก แต่จู่ๆ นักชกเจ้าของฉายา “ขวัญใจนักเรียน” ก็หมดแรงเอาดื้อๆ จนถูก ธนญชัย ท.แสงเทียนน้อย คู่ชกทำให้ล้มลงไปนอนกองกับพื้นถึง 3 ครั้งในยกสุดท้าย
ก่อนที่จะเป็นฝ่ายแพ้คะแนนไปในที่สุด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ 4 ยก แสงมณี ออกอาวุธและทำคะแนนได้ดีกว่า ธนญชัย ท.แสงเทียนน้อย มาตลอด รวมไปถึงราคาพนันขันต่อข้างเวทีที่เป็นต่อมาทุกยก
“ยกที่ห้าพอล้มลงไปครั้งแรกก็รู้ทันทีว่าหมดแรงแล้ว ชกต่อไม่ได้แน่ แต่ก็ต้องยืนขึ้นมาฝืนสู้ต่อให้จบ” แสงมณี แสงมณีเสถียรมวยไทยยิม ที่มีชื่อ-สกุลจริงว่า พงศกร สิทธิเดช เริ่มเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น
“จริงๆก็มีอาการตั้งแต่ก่อนชกแล้ว ตอนไหว้ครู ก็หน้ามืดไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็คิดว่าน่าจะมาจากการพักผ่อนน้อย พอเริ่มชกก็รู้สึกเวียนหัว หน้ามืดตลอด แต่ก็ไม่ได้บอกใครเพราะเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก ก็เลยฝืนชกต่อเพราะคิดว่าคงไม่เป็นอะไร”
ในขณะที่แสงมณี กำลังเดินลงจากเวทีเพื่อเข้าห้องพักนักมวยที่อยู่ใต้ถุนอัฒจรรย์ บริเวณด้านบนก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาเซียนมวยเกี่ยวกับผลการชกคู่ที่เพิ่งผ่านพ้นไป
โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า อีกไม่กี่นาทีต่อมา “บอล” แสงมณี จะเกิดอาการหน้ามืดจนหมดสติล้มลงในห้องแต่งตัวขณะที่กำลังจะอาบน้ำ เขาถูกหามส่งโรงพยาบาลเป็นการเร่งด่วน
ถือเป็นความโชคดีของ แสงมณี ส.เทียนโพธิ์ และวงการมวยที่ไม่เกิดข่าวร้ายขึ้น เพราะหากส่งเขาไปถึงมือหมอช้ากว่านี้อีกเพียงครึ่งชั่วโมง อาจถึงขั้นสิ้นชื่อได้เลย เมื่อแพทย์ตรวจร่างกายอย่างละเอียดทั้งการเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ พบสารประเภทกลุ่มยานอนหลับในกระแสเลือด
“ผมตื่นมาก็เห็นแม่นั่งเฝ้าผมอยู่ข้างเตียง แม่ร้องไห้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนผมเองก็รู้สึกเสียใจมากในตอนนั้น ก็คนวงการมวยมาทำลายกันเอง” แสงมณี แสงมณีเสถียรมวยไทยยิม เล่าถึงวันที่เขาเกือบสิ้นชื่อจากการถูกวางยา
หลังใช้เวลาพักฟื้นระยะหนึ่งก่อนที่จะกลับมาชกมวยได้ตามปกติ แสงมณี ฟิตซ้อมร่างกาย ขยัน ตั้งใจ เหมือนเดิม จนกลับมาเป็นนักมวยไทยแถวหน้าของวงการได้อีกครั้ง และเริ่มมีไฟต์ชกต่างประเทศมากขึ้น ทำให้มีรายได้จากการชกมวยมากขึ้น 2-3 เท่าในแต่ละปี
แสงมณี เป็นมวยฝีมือ มีจุดขาย การชกของเขาในแต่ครั้งก็จะสามารถเรียกเรตติ้งจากแฟนหมัดมวยได้ดี โดยเฉพาะการเป็นนักมวยค่าตัวแพงที่สุดของเมืองไทย ที่โปรโมเตอร์มวยคนไหนจะเอาเขาขึ้นเวทีก็ต้องจ่ายหนักถึง 250,000 บาท เลยทีเดียว
นี่ยังไม่รวมค่าเซ็นสัญญากับ ท็อปคิงส์ เวิลด์ ซีรีส์ การแข่งขันมวยไทยระดับโลก ที่ฟันรายได้ปีละหลายล้านบาท ทำให้ชื่อของ แสงมณี แสงมณีเสถียรมวยไทยยิม เป็นนักมวยที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดคนหนึ่งของวงการมวยไทยในยุคสมัยนี้
ช่วงปลายปี พ.ศ.2559 แสงมณี ได้ทำการเปลี่ยนสีเสื้อจาก “ส.เทียนโพธิ์” ค่ายที่สร้างชื่อให้กับเขาขึ้นมาไปใช้ “อุ้มกะต๋องเชียงใหม่ยิม” อีกหนึ่งค่ายมวยน้องใหม่
“จริงๆผมอยากชกกับคนไทยมากกว่า แต่การไปชกต่างประเทศกับนักมวยฝรั่งในแต่ละครั้งก็ได้ค่าตัวเพิ่มขึ้นจากเดิม 2-3 เท่า ที่สำคัญเหนื่อยน้อยกว่าด้วย”
“อีกอย่างวงการมวยก็มีเรื่องการพนันเข้ามา ผลแพ้ชนะบางทีก็ไปอยู่ที่หน้าเสื่อ จึงเป็นอีกเหตุผลที่นักมวยเก่งๆออกไปชกต่างประเทศ เรื่องนี้คนวงการมวยก็รู้กันอยู่แล้ว ทำไงได้ ผมเกิดมาจากมวยไทยได้ดีก็เพราะมวยไทย จะให้หนีไปที่อื่นก็คงไม่ได้” แสงมณี เผย
จนเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว เด็กหนุ่มวัยเพียง 20 ปี ตัดสินใจแยกตัวออกมาเปิดค่ายมวยเป็นของตัวเอง ภายใต้ชื่อ “แสงมณีเสถียรมวยไทยยิม” ตั้งอยู่บริเวณกลางซอยรามคำแหง 52 ซึ่งทุนทั้งหมดมาจากน้ำพักน้ำแรงของเขาในการเก็บหอมรอมริบจากการชกมวยตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี
พร้อมกับปฏิเสธเงินก้อนโตที่ใช้สีเสื้ออื่นๆ เพื่อเปลี่ยนมาใช้ชื่อค่ายมวยของตัวเองเป็นสีเสื้อ ในนาม “แสงมณี แสงมณีเสถียรมวยไทยยิม”
“ใจจริงก็อยากจะเปิดค่ายมวยเป็นของตัวเองนานแล้ว ก็มีแฟนคลับและชาวต่างชาติสนใจที่จะมาเรียนมวยไทยกับผม หากยังสังกัดค่ายมวยก็เปิดสอนไม่ได้ ก็เลยเลือกที่จะแยกออกมาทำคนเดียว ตอนที่ออกจากเจ้อุ้มกับโกต๋องก็มีการคุยกันเรียบร้อยแล้ว”
“ผมอยากต่อยกับคนเก่งๆ แบบว่าเจอใครก็ได้แบบไม่มีข้อผูกมัดว่าจะต้องเจอมวยในสายเดียวกัน หรือบางทีค่ายใหญ่ๆก็จะมีมวยเก่งๆอยู่หลายคน โอกาสได้วัดฝีมือกันบนเวทีมีน้อย หากแยกตัวมาอยู่คนเดียวก็ชกได้ทุกศึกทุกสาย”
ยอดมวยที่มีแฟนคลับติดตามมากที่สุดคนหนึ่งของวงการมวยไทย ก้าวสู่การเป็นเจ้าของค่ายมวยที่อายุน้อยที่สุดของวงการ
นั่นแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่แตกต่างไปจากนักมวยวัยรุ่นคนอื่นๆ และถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายใหม่ในวงการมวยของ แสงมณี แสงมณีเสถียรมวยไทยยิม
“การออกมาทำค่ายมวยเอง ต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าเดิม ไม่ใช่แค่ซ้อมแล้วขึ้นชก แต่เราต้องดูแลเรื่องอื่นๆของค่ายด้วย”
“อย่างที่บอกผมมาจากครอบครัวยากจน ผมจะไม่ให้ครอบครัวผมกำลับไปลำบากอีกแน่นอน ก็ต้องวางแผนเผื่อสำหรับอนาคตด้วย อย่างเปิดค่ายมวยก็เป็นอีกหนึ่งช่องทาง”
“ค่ายมวยที่ผมเปิดนี้จริงๆก็อยากทำให้เป็นที่ฝึกซ้อมส่วนตัว จะได้อยู่กับพ่อกับแม่ ที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดเราตลอด ค่อยดูแลเราเหมือนว่าเราอยู่บ้าน ใจจริงก็อยากทำเป็น ยิมสำหรับออกกำลังกายมากกว่า เอาไว้ให้คนที่สนใจมาเรียนมวยไทย”
ปัจจุบันค่ายมวย แสงมณีเสถียรมวยไทยยิม ก็เป็นที่ฝึกซ้อมของ แสงมณี ในการเตรียมความพร้อมในการขึ้นชก
อีกทั้งยังมีนักมวยในสังกัดอย่างเช่น แสนคม แสงมณีเสถียรยิม มวยเบอร์สองของค่ายที่กำลังถูกปั้นให้ก้าวมาเป็นนักชกแถวหน้าของวงการ รวมไปถึงมีนักมวยอีกหลายคนผลัดเปลี่ยนเข้ามาใช้สถานที่แห่งนี้ฝึกซ้อม
นอกจากนี้ แสงมณียิม ยังเป็นสถานที่ฝึกสอนศาสตร์แม่ไม้มวยไทยให้กับชาวต่างชาติและผู้คนคนทั่วไป โดยเฉพาะสุภาพสตรีที่นิยมมาใช้กีฬามวยไทยในการออกกำลังกายมากขึ้น รวมไปถึงเด็กเยาวชนที่ผู้ปกครองอยากให้เอาดีทางด้านมวยไทยก็ถูกส่งมาปลุกปั้นที่นี่
และเขาเองก็ หวังว่า จะได้เป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ ในการช่วยส่งเสริมมวยไทย รวมถึงเป็นธุรกิจที่ทำให้ เขาและครอบครัว ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น
“ผมเกิดมาจากมวยไทย กล้าพูดเต็มปากเลยว่ามีทุกวันนี้ก็เพราะมวยไทย ผมคงไม่ทิ้งมวยไทยแน่นอน อย่างค่ายมวยก็ทำไปเรื่อยๆ ถ้าถึงเวลาที่ผมเลิกชกมวยแล้วค่ายมวยมันไปได้ดีก็คงมาทำตรงนี้เต็มตัว”
“ที่สำคัญการออกมาตั้งค่ายมวยเอง ก็ทำให้ผมได้อยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตากันทุกๆวัน นี่คือสิ่งมีค่าที่สุดแล้วในชีวิตของผม” แสงมณี แสงมณีมวยไทยยิม เผยทิ้งท้าย
#ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก Main Stand