ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “บุรุษชุดดำดูแลงานศพ” นำคลิปภาพเหตุการณ์ จำนวน 3 คลิป มาโพสต์ พร้อมกับระบุข้อความว่า “เมื่อเวลาบ่าย 2 ของวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา ขับรถผ่านใต้สะพานเดชาแล้วเห็นตำรวจยืนทะเลาะกับผู้หญิงคนนึง ทำท่าจะล็อกกุญแจมือ ใครรู้บ้างครับว่าเหตุอะไร” โดยจากการตรวจสอบภายในคลิปทั้ง 3 คลิป จะเห็นหญิงสาวรายหนึ่งกำลังมีปากเสียงและโต้เถียงอย่างดุเดือดกับตำรวจจราจรอยู่บริเวณริมถนนใต้สะพานเดชาติวงศ์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์
แล้วจากนั้น ก็มีหญิงสาวคนที่ปรากฏอยู่ในคลิป เข้ามาโพสต์ตอบเรื่องราวดังกล่าวว่าเป็นเหตุการณ์ของตนเอง โดยก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุทะเลาะกับตำรวจ ได้ถูกเรียกจับรถจักรยานยนต์เพราะไม่ได้สวมหมวกกันน็อคและไม่ได้พกใบขับขี่ จึงทำให้ถูกตำรวจนายนั้นพยายามจะยึดรถไว้ และให้รอจนกว่าจะเสียค่าปรับเสียก่อน จึงจะคืนรถให้ แต่ขณะนั้นไม่มีเงินติดตัว จึงได้บอกว่าจะไปเอาใบขับขี่ และจะไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มเอาค่าปรับมาจ่าย ซึ่งทางตำรวจไม่ยอม จึงต่อรองขอให้เขียนใบสั่งมาแล้วจะไปจ่ายค่าปรับทีหลัง แต่ตำรวจนายเดิมก็ยังไม่ยินยอม จึงทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน
โดยช่วงวินาทีนั้น ตำรวจจราจรได้พยายามกระชากในจังหวะที่รีบบิดรถออกมา จึงทำให้รถไปเกี่ยวถูกตำรวจล้มลง แล้วเกิดการขับขี่ไล่ตามกัน จนกระทั่งไปถึงใต้สะพาน จึงถูกตำรวจนายนี้ ขับขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์เข้าพุ่งชนกลางลำ จนล้มคว่ำได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังถูกทำร้ายด้วยการบีบคอ บีบหน้า พร้อมกับจะเตรียมใส่กุญแจมืออีกด้วย จึงได้ตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านในละแวกดังกล่าว ก่อนที่เรื่องราวสุดท้าย จบลงด้วยการไปแจ้งความเอาผิดที่สถานีตำรวจ ซึ่งหญิงสาวรายนี้ ยังโพสต์ถามกลับด้วยว่า แค่ไม่ได้ใส่หมวกกันน็อคมา ต้องทำกันถึงขนาดนี้ มันดูรุนแรงไปไหม
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ผู้สื่อข่าวจึงได้ติดต่อสอบถามไปยังหญิงสาวต้นเรื่อง ทราบชื่อคือ น.ส.วีรญา อายุ 29 ปี ทำงานเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในเขต อ.เมืองนครสวรรค์ ระบุว่า สิ่งที่โพสต์เล่าเรื่องราวผ่านเฟซบุ๊กในกลุ่มข่าวสาธารณะ จ.นครสวรรค์ เป็นความจริงทั้งหมด ซึ่งในวันนั้นกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์เดินทางไปเรียนที่มหาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ซึ่งตนกำลังเรียนต่อปริญญาโทอยู่ แต่ตนไม่ได้สวมหมวกกันน็อก และไม่ได้พกใบขับขี่มา จึงทำให้ถูกตำรวจจราจรเรียกจับที่บริเวณสี่แยกเดชาติวงศ์ ซึ่งตนก็ยอมรับว่าผิด แต่ตนก็พยายามต่อรอง โดยขอให้ยึดบัตรประชาชนของตนเอาไว้ แล้วจะรีบขี่รถไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มมาจ่ายค่าปรับให้ แต่ตำรวจก็ยังไม่ยินยอม และพยายามจะยึดรถตนให้ได้ พร้อมกับระบุต้องมาเสียค่าปรับ จำนวน 400 บาท กับเขาเท่านั้น จึงจะรับรถคืนไปได้
บาดแผลของ น.ส.วีรญา
ซึ่งผลสุดท้าย ก็เกิดการโต้เถียงกัน ตนยอมรับว่า ช่วงเวลานั้นทำให้ตนอารมณ์เสีย เพราะกำลังจะรีบไปเรียน อีกทั้งเมื่อตนร้องขอให้ออกใบสั่งแล้วจะไปเสียค่าปรับในภายหลัง ตำรวจนายนั้นก็ยังไม่ยอมอีก จึงทำให้ตนตัดสินใจขี่รถออกมา เพราะมองว่า ตนได้ให้บัตรประชาชนไปแล้ว และไม่ได้มีเจตนาจะหนี เพียงแค่จะรีบไปกดเงินมาจ่ายค่าปรับให้ แล้วจะรีบไปเรียนเท่านั้น แต่ปรากฏว่า ในช่วงที่ตนขี่ออกมา เป็นจังหวะเดียวกันกับตำรวจพยายามกระชากตน จึงทำให้รถไปเกี่ยวตัวตำรวจจนล้มลง จนเกิดการขับรถไล่ตามกันเกิดขึ้น
น.ส.วีรญา เล่าต่อไปว่า ในช่วงที่ขับขี่ไล่ตามกัน โดยเริ่มตั้งแต่บริเวณสี่แยกไปจนถึงใต้สะพานเดชาติวงศ์ ตนจึงได้จอดรถรถรอริมทางเพื่อจะพูดคุยอธิบายให้เข้าใจอีกรอบ แต่ปรากฏว่า ตำรวจนายนั้น ซึ่งขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ตามมา ได้พุ่งมาชนกลางรถตนอย่างจังจนรถตนล้มคว่ำทับร่าง หนำซ้ำ ยังเร่งเครื่องใช้ล้อหน้ารถเกยรถขึ้นมาเหยียบทับซ้ำด้วย และเมื่อตนลุกขึ้นออกมาจากรถได้ ก็กลับถูกตำรวจนายนี้บีบคอบีบหน้า และพยายามจะตบตนอีก ทั้งที่ตนก็พยายามจะอธิบายว่าเจตนาไม่ได้หลบหนี เพียงแค่จะไปกดเงินกลับมาจ่ายค่าปรับให้ ซึ่งขณะนั้น ก็มีชาวบ้านรายหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์ เข้ามาช่วย พร้อมกับถ่ายคลิปเอาไว้ก่อนจะมีการนำไปโพสต์บนเฟซบุ๊กในกลุ่มข่าวสาธารณะดังกล่าว ตนจึงต้องเข้าไปโพสต์ตอบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เมื่อถามถึงหลังจากเหตุการณ์จบลง น.ส.วีรญา เล่าว่า ได้เดินทางไปที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ พร้อมกับแฟนหนุ่มที่เดินทางมาที่หลัง โดยตอนนั้น รถจักรยานยนต์ของตนได้รับความเสียหายจากการโดนชน ถูกขนโดยรถกระบะตำรวจนำมาไว้ที่โรงพัก ซึ่งตนก็พยายามจะแจ้งความเอาเรื่องแล้ว แต่กลับถูกตำรวจร้อยเวรบ่ายเบี่ยง ให้ตนไปพูดคุยไกล่เกลี่ยกลับตำรวจคู่กรณีก่อน แต่ขณะนั้นกลับรู้สึกมีอาการเจ็บปวดจากการถูกชน จึงตัดสินใจให้แฟนขับรถพาไปส่งตรวจดูอาการที่โรงพยาบาลก่อนจะให้แฟนเดินทางกลับมายังโรงพักเพื่อแจ้งความเอาเรื่องอีกครั้ง แล้วก็พบว่า ถูกตำรวจจราจรรายนี้แจ้งความเอาเรื่องตนไว้ก่อนแล้วว่าไปทำร้ายร่างกายเขา แต่ตนก็แจ้งความกลับฐานทำร้ายตนด้วยเช่นกัน
ส่วนตอนนี้ ตนรู้สึกมีความกังวล และเครียดอย่างมาก เนื่องจากจะต้องไปหาหลักฐานเอง โดยเตรียมจะไปติดต่อทางเทศบาลนครนครสวรรค์เพื่อขอภาพจากกล้องวงจรปิดตั้งแต่บริเวณสี่แยกไปจนถึงใต้สะพานเดชาติวงศ์เพื่อนำมาเป็นหลักฐานในการยืนยันว่าถูกกระทำเกินกว่าเหตุ และก็อยากสอบถามกลับไปกับทางตำรวจด้วยว่า ขณะนี้บัตรประชาชน และรถจักรยานยนต์ของตนหายไปไหน เนื่องจากตอนที่แฟนกลับไปแจ้งความก็ไม่พบว่ามีรถจักรยานยนต์ของตนจอดอยู่ และบัตรประชาชนก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ตำรวจท่านไหน เพราะตนยังไม่ได้คืน
ร.ต.อ.ชาญศึก รองสารวัตรตำรวจจราจร สภ.เมืองนครสวรรค์
เวลาต่อมา ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามไปยังตำรวจจราจรคู่กรณี ทราบชื่อ คือ ร.ต.อ.ชาญศึก รองสารวัตรตำรวจจราจร สภ.เมืองนครสวรรค์ ได้รับการชี้แจงว่า วันนั้น ขณะที่กำลังปฏิบัติงานอำนวยการจราจรบริเวณสี่แยกเดชาติวงศ์ ก็พบเห็นหญิงสาวคู่กรณีขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า สีขาว มาจอดรถติดสัญญาณไฟ ในสภาพไม่สวมหมวกกันน็อค จึงได้เรียกตรวจก่อนจะทำการจับปรับในข้อหาไม่สวมหมวกกันน็อคและไม่พกพาใบขับขี่ ซึ่งตนปฏิบัติงานด้านจราจรมานานหลายปี ตนจะไม่อนุญาตให้คนที่ขับขี่รถแล้วไม่พกใบขับขี่กลับไปขับขี่รถบนท้องถนนต่ออย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น ก็จะถูกข้อครหาว่าละเว้นขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ ตนจึงตัดสินใจจะขอยึดรถไว้ โดยบอกให้หญิงสาวกลับไปเอาใบขับขี่มาแสดงพร้อมกับเสียค่าปรับ
ซึ่งในระหว่างที่กำลังเขียนใบสั่งอยู่นั้น หญิงสาวคู่กรณีกลับรีบออกรถไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้ตนโดนชนล้มกางเกงขาด และที่ขามีรอยถลอก แถมรถยังลากตนไปกับถนนอีก 3-4 เมตรด้วย ตนเห็นว่าลักษณะนี้คือการทำร้ายในระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ จึงได้ไปเอารถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ของตนขับขี่ไล่ตาม จนเกิดการชนกัน เนื่องจากขณะกำลังขับขี่ไล่ตามกันอยู่นั้น เป็นช่วงจังหวะที่ใช้ความเร็ว และทางก็เป็นทางโค้งด้วย จึงทำให้รถไปเกี่ยวและชนกันดังกล่าว
“ช่วงที่ผมกำลังเขียนใบสั่ง ได้สังเกตเห็นน้องผู้หญิง เขาพูดคุยโทรศัพท์มือถือต่อว่าใครอยู่ตลอด น่าจะอารมณ์เสียมากๆ แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ก็เขียนใบสั่งต่อจนเกิดเหตุการณ์ขับขี่รถกระชากชนตนจนล้ม และไล่ตามสกัดจนเกิดการชนกัน ยืนยันเลยว่า หลังจากที่เกิดการชนกันแล้ว ตนพยายามยกมือกันตัวเองตลอด เพราะน้องผู้หญิงพยายามผลักผมและต่อว่าด่าทอผมตลอดเวลา ผมจึงต้องยกมือป้องกันตัวเอง ไม่ใช่เป็นการไปทำร้ายเขาแต่อย่างใด”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามไปยังผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “บุรุษชุดดำดูแลงานศพ” ซึ่งเป็นผู้นำคลิปมาโพสต์ในกลุ่มแจ้งข่าวสาธารณะ และเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ ทราบชื่อคือ นายสุรสิทธิ์ อายุ 24 ปี เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า ได้เห็นตำรวจขี่รถบิ๊กไบค์ชนกับรถจักรยานยนต์ของหญิงสาวบริเวณใต้สะพานใกล้กับบ้านที่ตนพักอาศัย และหลังจากนั้นทั้งคู่ก็มีปากเสียงกัน ซึ่งการโต้เถียงกันนั้น ตนจับใจความได้ว่าตำรวจระบุหญิงสาวคู่กรณีขับขี่รถหนีด่าน แต่ภาพที่ตามมาก็คือ ตำรวจนายนี้กลับแสดงพฤติกรรมไปบีบคอบีบหน้าหญิงสาวต่อหน้าต่อตาตน และผู้ที่ใช้รถผ่านไปมา ตนจึงตัดสินใจนำโทรศัพท์มือถือมาถ่ายคลิปเหตุการณ์ไว้ แต่ก็ยังไม่ทราบเหตุการณ์ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่ต้น จึงได้นำคลิปไปโพสต์สอบถามกับสมาชิกกลุ่มแจ้งข่าวสาธารณะ จ.นครสวรรค์ เผื่อจะมีคนที่รู้เรื่องดีกว่าตน มาโพสต์เล่าเรื่องให้ฟัง ซึ่งก็ไม่คาดคิดว่าจะเป็นประเด็นทำให้ผู้คนเกิดจุดกระแสความสนใจเป็นเรื่องดังในโซเชียล