อาการของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (COVID-19) ที่เห็นได้ชัด และส่วนใหญ่เราจะทราบกันอยู่แล้ว คือ มีไข้ ไอ จาม เจ็บคอ (หรืออาจจะคอแห้ง) และหายใจเหนื่อยหอบ แต่นอกจากอาการเหล่านี้แล้ว ยังมีสัญญาณอันตรายของอาการโควิด-19 เพิ่มเติมที่เรายังสามารถสังเกตตัวเอง และคนรอบข้างได้ ดังนี้
ราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกแพทย์ แห่งประเทศไทย ก็ออกประกาศว่าพบผู้ป่วยโควิด-19 มีอาการสูญเสียการรับรส และได้กลิ่นมากถึง 2 ใน 3 และในผู้ป่วยที่มีอาการไข้ ไอ จาม เจ็บคอ เหนื่อยหอบไม่มากนัก มีโอกาสที่พบอาการสูญเสียการรับรู้รส และการได้กลิ่นได้ราว 30% เช่นกัน โดยอาจพบได้ในผู้ที่ติดเชื้อใน 1-7 วันแรก และอาจจะมีอาการรับรู้รส-กลิ่นน้อยลง ไปจนถึงไม่สามารถรับรู้รส-กลิ่นได้เลย ดังนั้นหากใครที่ไม่สามารถรับรู้รส-กลิ่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน และคิดว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงใดๆ ควรรีบพบแพทย์
งานวิจัยที่เตรียมตีพิมพ์ลง The American Journal of Gastroenterology เผยว่า ในผู้ติดเชื้อบางรายอาจแสดงอาการอื่นๆ เป็นอาการแรกๆ ก่อนที่จะเริ่มมีไข้ ไอ จาม เจ็บคอ หายใจเหนื่อยหอบ ซึ่งหนึ่งในอาการแรกๆ ที่อาจพบได้ อาจเป็นอาการท้องเสีย และมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โดยทีมวิจัยได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศจีน พบว่า จากผู้ป่วยทั้งหมด 206 คน มีผู้ที่มีปัญหากับระบบย่อยอาหารถึง 117 คน และในจำนวนนี้ ราว 67 คน (58%) มีอาการท้องเสีย และ 13 คน (20%) มีอาการท้องเสียเป็นอาการแรกที่เริ่มมีอาการป่วย นอกจากนี้ยังพบว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่มีอาการท้องเสียทั้งหมดไม่เคยมีไข้เลยอีกด้วย
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า อาการทางตาอาจจะปรากฏก่อนหน้าอาการอื่นๆ ทางระบบทางเดินหายใจด้วยซ้ำ โดยพบได้ 11% จากรายงานของประเทศจีนและขณะที่มีอาการแล้ว โดยทั้งหมดแล้วพบได้ประมาณเกือบ 30% ตั้งแต่ ตาแห้ง ตาแดงตาอักเสบ น้ำตาไหล มีขี้ตา มีหยากไย่ลอย คล้ายมีวัตถุ แปลกปลอมอยู่ในตา
นอกจากนี้ Dr. Liang Liang แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาจักษุวิทยา มหาวิทยาลัย China Three Gorges ในเมืองอี้ชาง ยังระบุด้วยว่า เชื้อไวรัสสามารถติดต่อไปสู่คนอื่นได้ หากผู้ติดเชื้อใช้นิ้วมือขยี้ตาที่ติดเชื้อ แล้วไปสัมผัสกับคนอื่น หรือสิ่งของต่างๆ
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ให้ข้อมูลว่า มีการเก็บข้อมูลผู้ป่วยโรคโควิด-19 จากต่างประเทศ เช่น อิตาลี สหรัฐอเมริกา และในประเทศไทยเอง พบว่าร้อยละ 20 ของผู้ป่วย จะมีความผิดปกติทางผิวหนังร่วมด้วย ได้แก่
มีผื่นแดง (คันบางราย)
มีจุดเลือดออก
ผื่นบวมแดงคล้ายโรคลมพิษ
กลุ่มของตุ่มน้ำคล้ายโรคอีสุกอีใส
มีการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากการหด และขยายตัวของหลอดเลือด
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ให้คำแนะนำว่า หากประชาชนมีอาการผิดปกติทางผิวหนัง ร่วมกับอาการไข้ ไอ หรืออาการทางระบบหายใจอื่นๆ ควรรีบมาพบแพทย์