อย.พร้อมเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายในประมวลกฎหมายยาเสพติด ให้สามารถนำ ‘พืชกระท่อม’ มาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และศึกษาวิจัยได้
เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมา นายแพทย์วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีนโยบายมุ่งมั่นส่งเสริมให้เกิดการพัฒนายาที่ดี มีประสิทธิภาพในการรักษา และไม่เคยปิดกั้นความก้าวหน้าทางวิชาการ
โดยกรณีของพืชกระท่อมปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะได้อนุญาตเป็นรายๆไป และห้ามมิให้ผู้ใดเสพพืชกระท่อม ฝ่าฝืนมีโทษจำหรือปรับ
ซึ่งการที่จะเปิดให้สามารถนำพืชกระท่อมมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้นั้น อย.ได้มีการเสนอให้แก้ไขกฎหมายในประมวลกฎหมายยาเสพติดให้โทษ โดยแก้ไขเป็นห้ามมิให้ผู้ใดเสพพืชกระท่อมเว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะประกาศกำหนดตำรับยาที่ให้เสพเพื่อการรักษาโรคตามคำสั่งของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยสาขาเวชกรรมไทยหรือผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์
ทั้งนี้ผลจากการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เมื่อร่างประมวลกฎหมายฯ มีผลบังคับใช้พืชกระท่อมก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้
หรือนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการศึกษาวิจัยในมนุษย์ก็สามารถทำได้ตามกฎหมาย แต่เนื่องจากการที่ใบกระท่อมมีปัญหาการแพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียน การถอนพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษควรคำนึงถึงผลกระทบทางด้านสาธารณสุขและสังคมร่วมด้วย
เลขาธิการฯ กล่าวต่อในตอนท้ายว่า อันที่จริงแล้วการควบคุมพืชกระท่อมในประเทศต่างๆ ปัจจุบันสหประชาชาติยังมิได้มีการประกาศควบคุมพืชกระท่อมตามอนุสัญญาฯ ระหว่างประเทศ แต่ได้ขอให้ประเทศสมาชิกเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การใช้พืชกระท่อมด้วย
จากการสืบค้น พบว่า ประเทศต่าง ๆ เช่น เดนมาร์ก ลัตเวีย ลิทัวเนีย โปแลนด์ โรมาเนีย สวีเดน มีการควบคุมพืชกระท่อม และสารไมทราไจนีน (Mitragynine) และเซเว่นไฮดรอกซี่ไมทราไจนีน (7-Hydroxymitragynine) สำหรับประเทศออสเตรเลีย พม่า และมาเลเซีย ก็มีการควบคุมพืชกระท่อม เช่นกัน
ข้อมูล PR.สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ที่มา : news.mthai.com