นี่คือไฟต์ที่แบ่งวงการมวยเป็นสองข้าง แบ่งเสียงเป็นสองฝั่ง และจบลงด้วยเลือดกระจาย ก่อนเสียงระฆังยกสุดท้ายจะดังขึ้น
ติดตามไฟต์ที่ถูกเรียกว่า "การสังหารหมู่ในวันวาเลนไทน์" ระหว่าง ชูการ์ เรย์ โรบินสัน นักชกที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ กับ เจค ลาม็อตต้า นักเลงใหญ่ใจนักมวยเจ้าของฉายา "กระทิงแห่งบรองซ์" ได้ที่นี่
ความดิบของมวยยุคเก่า
ย้อนกลับไปเกือบ 70 ปีก่อน มวยถือเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา เหตุผลน่ะเหรอ? เพราะว่ามันคือกีฬาที่ใช้อุปกรณ์น้อยที่สุด ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย มีเพียงคนสองคนขึ้นมาบนเวทีและชกกันกว่าจะมีใครลงไปกองกับพื้น เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นั้นเอง
สมัยนั้นมีคำกล่าวว่า "มวยคือกีฬาที่โดดเดี่ยวที่สุด" เพราะเมื่อขึ้นเวทีแล้วมันคือการดวลกันแบบ 1-1 เอาชนะกันด้วยทักษะ, ความอึด, ความหนักหน่วง ... ไม่มีพื้นที่ให้คุณได้หลบซ่อน ถ้าคุณกลัว ถ้าคุณไม่ไหว มันก็จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ เพราะไม่มีใครอีกแล้วที่จะช่วยคุณได้ ทั้งหมดนี้คือรูปแบบความมันของมวยยุคเก่า
หากมองเข้าไปในรายละเอียด คุณจะพบว่ายุค 50's ถือเป็นยุคที่เทคโลยีต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้าเริ่มตั้งไข่ ไม่ใช่ทุกที่จะเข้าถึงมันได้ ดังนั้นความบันเทิงที่ดีที่สุดก็คือกีฬา และด้วยความที่อุปกรณ์, กฎเกณฑ์ และการตลาดต่างๆ ในการชกมวยยังไม่มีการนำมาปรับใช้ มันจึงเป็นเรื่องยากมากในยุคสมัยนั้นที่จะหานักมวยที่มีทักษะดีๆ อ่านเกมเก่งๆ ไม่ปล่อยให้ตัวเองเพลี่ยงพล้ำ และใช้วินาทีที่คู่ต่อสู้พลาดจัดการปล่อยท่าไม้ตาย ... มวยสมัยนั้นจึงมีแต่พวกนักสู้สายเดินเข้าแลก ชกกันจนกว่าจะร่วงมากกว่าที่จะเน้นต่อยเข้าเป้าและเก็บคะแนนเพื่อเอาชนะหลังต่อยครบยก
และสิ่งที่ตามมาจากการเปิดหน้าแลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ "เลือด" ... และเหตุผลที่ทำให้เลือดกระจายในแต่ละไฟต์ได้ก็คือนวมนั่นเอง มีการบันทึกว่านวมในยุค 50's นั้น แทบไม่ได้ลดแรงกระแทกจากหมัดเปล่ามากนักเพราะมีความบางมาก อีกทั้งยังผลิตมาจากหนังฟอกสีน้ำตาลเข้ม มีเนื้อของนวมที่แน่นและแข็งมาก ที่สำคัญคือนวมแต่ละข้างจะมีน้ำหนักแค่ 2 ออนซ์เท่านั้น ... ส่วนมวยในยุคปัจจุบันนั้นใช้นวมที่มีน้ำหนักราวๆ 8-12 ปอนด์
ทุกอย่างพร้อมให้เกิดการน็อคเอาต์และละเลงเลือดกันขนาดนี้ นั่นจึงไม่แปลกที่ทำไมแต่ละไฟต์จึงโหดเลือดสาด แตกก็เย็บแล้วก็ชกต่อในหลายต่อหลายคู่ บางครั้งโชคร้ายนักได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิตเลยก็มี
ทว่ามีมวย 1 คู่ที่ถูกจดจำไว้ในประวัติศาสตร์ด้านการหลั่งเลือด มันคือศึกในปี 1951 และจัดขึ้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พอดิบพอดี ... การชกระหว่าง ชูการ์ เรย์ โรบินสัน และ เจค ลาม็อตต้า 2 นักชกที่ทำให้เลือดสาดไปทั่วสนาม และศึกดังกล่าวถูกเรียกว่า "ศึกวันสังหารหมู่ในวันวาเลนไทน์"
จุดเริ่มต้นของศึกสังหารหมู่
ชูการ์ เรย์ โรบินสัน และ เจค ลาม็อตต้า คือ 2 นักชกที่ชิงความเป็นหนึ่งในรุ่นมิดเดิลเวตในเวลานั้น เหตุผลที่พวกเขาชิงความเป็น 1 กันไม่ใช่แค่เพื่อเข็มขัดแชมป์ แต่มันคือศักดิ์ศรีที่แต่ละคนแบกไว้..
กลุ่มผู้มีอิทธิพล (โปรโมเตอร์) ในวงการ หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า "มาเฟียมวย" ในยุคนั้นไม่ชอบที่จะเห็นคนผิวดำขึ้นมาเป็นแชมป์มวยโลกในทุกๆ รุ่น นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ตัวแทนของนักมวยผิวดำที่เดิมทีต่อยในรุ่นเล็กจนไม่มีใครสู้ได้ แต่ก็ไม่เคยถูกจัดให้ได้ขึ้นชิงแชมป์โลกเสียทีด้วยเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้น
ชูการ์ เรย์ จึงต้องขยับขึ้นมาเล่นรุ่น มิดเดิลเวต ที่มีนักมวยผิวขาวฝีมือดีคอยคานอำนาจ นำโดย เจค ลาม็อตต้า ผู้มีศักดิ์เป็นนักเลงตัวพ่อแห่งย่านบรองซ์ ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันนั่นเอง
"คนที่ควบคุมวงการมวย พวกนักเลงในวงการตอนนั้น ไม่อยากจะให้เขาขึ้นชิงแชมป์โลกในปี 1940 เนื่องจากพวกเขาคิดว่ามีคนผิวดำมากเกินไปในตำแหน่งนักชกแถวหน้าของโลก" วิล เฮย์กู้ด ผู้เขียนหนังสือ Sweet Thunder: Life and Times of Sugar Ray Robinson" กล่าว
ณ เวลานั้น ชูการ์ เรย์ ถูกเรียกว่า นักชกที่ดีที่สุดหากเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ขณะที่ ลาม็อตต้า คือกระทิงแห่งบรองซ์ ... ย่านที่สร้างนักมวยขึ้นมามากมายและเขาคือเบอร์ 1 เรียกได้ว่าจัดจ้านในย่านนี้ที่สุดนั่นเอง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้ชกกัน เพราะครั้งแรกต้องย้อนกลับไปในปี 1942 ซึ่ง ชูการ์ เรย์ เป็นฝ่ายชนะ ก่อนที่ฝั่งโปรโมเตอร์จะรีบจัดไฟต์ล้างตาให้ในอีก 4 เดือนต่อมา และในวันนั้น เจค ลาม็อตต้า เป็นฝ่ายชนะ ... ในทางกลับกันนั่นคือไฟต์แรกที่สอนให้ ชูการ์ เรย์ รู้จักความพ่ายแพ้ด้วย
ในช่วงยุค 40's ทั้งคู่เดินขึ้นสังเวียนประจันหน้ากันถึง 5 ครั้ง แต่มันก็ไม่มีมีอะไรเป็นเดิมพัน ไม่เท่ากับครั้งนี้ในปี 1951 ศึกครั้งที่ 6 ที่ว่ากันว่าเป็นช่วงที่ทั้งคู่เข้าสู่วัย 28 ปี ... พีกที่สุดเท่าที่จะพีกได้สำหรับนักมวยคนหนึ่ง
ความเก่งกาจที่สูสีกัน รวมถึงเรื่องนอกสนาม ทำให้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เจค ลาม็อตต้า ที่เป็นแชมป์โลกรุ่นมิดเดิลเวต ณ เวลานั้น ได้โอกาสที่จะดับซ่า ชูการ์ เรย์ ที่ทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่เขาต้องการแม้จะถูกกีดกันแค่ไหน ... นั่นก็คือเข็มขัดแชมป์โลกนั่นเอง
ความมันเริ่มบังเกิดตั้งแต่การเซ็นสัญญาก่อนขึ้นชก ชูการ์ เรย์ เปิดตัวต่อหน้าสาธารณชนและ ลาม็อตต้า ด้วยการดื่มเลือดวัวสดๆ จากแก้ว ... มันคือสัญลักษณ์ว่า เขาจะจัดการกระทิงแห่งบรองซ์เสียให้สิ้นซาก และจะกลายเป็นแชมป์โลกสมัยแรก ต่อให้มีคนไม่อยากเห็นภาพเขาชูเข็มขัดแชมป์ก็ตาม
ชูการ์ เรย์ ยกแก้วให้ ลาม็อตต้า ลองดื่ม แต่แชมเปี้ยนตอบกลับอย่างสงบและเยือกเย็นว่า "แกไม่รู้ตัวว่าแกทำอะไรอยู่ เก็บไว้กินเองเถอะ"
เขาไม่ได้ตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งที่เขาต้องโฟกัสยิ่งกว่า คือการพยายามลดน้ำหนักลงมาให้ได้อีก 6 ปอนด์ เพื่อผ่านตาชั่ง 160 ปอนด์ และต้องการจะชนะให้ได้โดยไม่ต้องเล่นสงครามจิตวิทยา ... และวันนั้นก็มาถึง
การชกระหว่าง ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ผู้แทบจะไม่เคยแพ้ใครและไล่น็อคคู่ชกจนร่วงเป็นใบไม้ กับ เจค ลาม็อตต้า อัจฉริยะนักชกที่เคยโดนน็อคก่อนหน้านั้นเพียงครั้งเดียว กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
รัวไม่หยุดตั้งแต่วินาทีแรก
ชูการ์ เรย์ โรบินสัน นอกจากจะหมัดหนักแล้วหมอนี่ยังเปี่ยมกลยุทธ์ เมื่อกรรมการลั่นระฆังยกแรก เขารู้ทันทีว่าการลดน้ำหนัก 6 ปอนด์ในไม่กี่วันของ ลาม็อตต้า จะส่งผลให้แชมเปี้ยนคนนี้ปรับจังหวะตัวเองไม่ได้ เขาจึงเริ่มไล่ซัดตั้งแต่ยกแรก คนดูในวันนั้นต่างแปลกใจที่ผู้ท้าชิงเดินเกมแบบไม่มีพิธีรีตองใดๆ ทั้งสิ้น หมัดของ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ที่เป็นต่อเรื่องช่วงชก (โรบินสัน สูง 180 เซนติเมตร ช่วงชก 184 เซนติเมตร / ลาม็อตต้า สูง 173 เซนติเมตร ช่วงชก 170 เซนติเมตร) เข้าที่หน้าและลำตัวของ ลาม็อตต้า อย่างไม่หยุดหย่อน
แฟนๆ ฝั่ง ชูการ์ เรย์ เริ่มส่งเสียงดังขึ้นราวกับจุดจบของไฟต์นี้.. แต่กระทิงแห่งบรองซ์ที่กินหมัดช่วงออกสตาร์ท กลับเหมือนเด็กน้อยที่ได้กินซีเรียลในมื้อเช้า หมัดของ ชูการ์ เรย์ ที่ว่าหนัก ทำให้เขาตื่นตัวขึ้น และกลับสู่ฟอร์มของนักชกแชมป์โลกได้อีกครั้งในช่วงยกที่ 3
อย่างไรก็ตามความจริงก็คือความจริง นักชกที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ฉายานี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ชูการ์ เรย์ แสดงให้เห็นการชกมวยที่แท้จริงออกมา เขารวดเร็ว, หนักหน่วง และมีฟุตเวิร์กที่ไวจน ลาม็อตต้า ตามไม่ทัน ... แม้จะพยายามเท่าไหร่ แต่ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน คือคู่ต่อสู้ที่เก่งเกินกว่าจะต่อกรไปเสียแล้ว
ในช่วงยกที่ 10 ถึงยกที่ 13 ว่ากันว่าเป็นซีรี่ส์การปล่อยหมัดชุดที่ต่อเนื่องที่สุดเท่าที่ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ทำมาตลอดชีวิต หมัดตรง หมัดฮุก จ้วงซ้าย จ้วงขวา ทุกอย่างเท่าที่เขาจะมีแรงปล่อย ชูการ์ เรย์ ใส่สุดตัว หมายเอา เจค ลาม็อตต้า ให้ร่วงและจบเรื่องทุกอย่างให้ขาวสะอาดที่สุด เพราะถ้าหากปล่อยให้ยืนกันจนครบยก ใครจะรู้ว่าผลการตัดสินหายจะพลิกล็อกจนทำให้เขาช็อคก็เป็นได้
สภาพของ ลาม็อตต้า ในวันนั้นหมดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเขาคือแชมป์ และ ชูการ์ เรย์ เป็นผู้ท้าชิง ตาสองข้างของเขาบวมจนปิดแทบสนิท จมูกแตกจนเลือดไหล และปากก็ฉีกจนได้เลือดไม่ต่างกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในไฟต์นี้พอจะบอกได้ว่าหาก ชูการ์ เรย์ ได้ขึ้นชิงแชมป์โลกตามความสามารถ เขาคงกลายเป็นแชมป์โลกตั้งแต่อายุ 18 ปี หรือเมื่อ 10 ปีก่อนแล้ว
อ่านมาถึงตรงนี้คุณอาจจะเห็นถึงความเก่งกาจระดับเทพของ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน และชื่นชมการชกของเขาจนลืมไปว่า แท้จริงแล้ว เจค ลาม็อตต้า เองก็สมควรเป็นคนที่ได้รับความชื่นชมไม่แพ้กัน ... ชูการ์ เรย์ น็อคคู่ชกของขาไปทั้งหมด 108 คนตลอดการเป็นนักชกอาชีพ และคู่ชกส่วนใหญ่ที่โดนน็อค ยืนได้ไม่เกิน 6 ยกก็สุดจะต้านทานแล้ว ทว่า ลาม็อตต้า คนนี้แบกศักดิ์ศรีแชมป์โลกจนวินาทีสุดท้าย เขาไม่ยอมร่วงสักที แม้ว่าจะโดนแล้วโดนอีกจนถึงขั้นฝั่งพี่เลี้ยงของ ชูการ์ เรย์ ตะโกนบอกกรรมการให้ยุติการชกได้แล้ว
"มึงทำไม่ได้หรอกไอ้มืดสันขวาน มึงเอากูลงไม่ได้หรอกโว้ย" ลาม็อตต้า บอกถึงสิ่งที่เขาตะโกนใส่ ชูการ์ เรย์ ในวันนั้น เรียกได้ว่าแม้ร่างกาย ณ เวลานั้นจะไม่ใช่ แต่ฝีปากเขาล่ะแชมป์โลกแน่นอน
โชคร้ายตรงที่ถ้าเป็นนักชกคนอื่นๆ ลาม็อตต้า คงเก่งได้จนระฆังหมดยก 13 ดัง ... ทว่าไม่ใช่กับ ชูการ์ เรย์ นักชกที่ไม่เคยหยุดปล่อยหมัดจนกว่าจะน็อคคนที่อยู่ข้างหน้าได้ อีกไม่กี่อึดใจก่อนจะครบยก ชูการ์ เรย์ อัดเปรี้ยงตรงเข้าหน้าทั้งหมดตามที่นับได้คือ "10 ครั้ง" อย่าลืมว่านี่คือยกที่ 13 แล้ว การทนหมัดของชูการ์ เรย์ ที่เข้าหน้าเต็มๆ ได้ 10 หมัด คือเรื่องเหลือเชื่อเท่าที่ ลาม็อตต้า จะทำได้แล้ว
ลาม็อตต้า แค่เกือบหงาย และเหลือเชื่อที่สายตาของเขายังแสดงว่า "มีอีกก็เอามาอีกสิวะ" แต่น่าเสียดายที่กรรมการในวันนั้น เห็นสภาพของเขาแย่เกินกว่าจะไปต่อจึงตัดสินใจยุติการชก ขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 นาทีก็จะครบยก และให้ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน เป็นฝ่ายชนะน็อคไปในท้ายที่สุด
ลาม็อตต้า เสียแชมป์.. ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่าเข็มขัด แต่มันคือชัยชนะเหนือการถูกกดขี่ของ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ทำให้ทีมงานของเขาฉลองกันสุดเหวี่ยงบนเวที
ลาม็อตต้า ที่ยังไม่ยอมร่วงกับพื้นมองเห็นภาพการฉลองของอริของเขาพร้อมเข็มขัดแชมป์โลกที่เคยเป็นของตัวเอง.. เขาทนไม่ไหว คนใจนักเลงอย่าง ลาม็อตต้า จึงเดินกลับมาบนเวทีอีกครั้งและตะโกนว่า
"ไอ้เรย์โว้ย.." เขาตะโกน
ทุกคนหันหลังกลับมาดูว่า ลาม็อตต้า ที่เป็นนักเลงโดยสันดานจะทำอะไรต่อไป.. แต่ยังไม่ทันจะคิดคำตอบ ลาม็อตต้า ก็เฉลย เขาเดินผ่ากลางวงและจับมือซ้ายของ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ชูขึ้นฟ้า เพื่อยอมรับกับความพ่ายแพ้ทุกประตูครั้งนี้
"ให้ตายเถอะว่ะ เรย์ มึงนี่มันไม่เคยทำให้กูผิดหวังเลยจริงๆ" ลาม็อตต้า ว่าไว้เช่นนี้ในฉากสุดท้าย ก่อนเขาจะขอตัวลงจากเวทีแบบผู้แพ้ที่ได้ใจคนดู..
นักข่าวที่ได้สัมภาษณ์ เจค ลาม็อตต้า ในภายหลัง ถามเขาถึงไฟต์ดังกล่าวว่า ทำไมถึงแพ้เละหมดรูปขนาดนั้น ลาม็อตต้า ยังคงรักษาสไตล์ฝีปากแชมป์โลกเหมือนเคย เขาตอบกลับแบบทันควันว่า
"ถ้ากรรมการมีเวลาให้ผมอีก 30 วิ ชูการ์ เรย์ ร่วงก่อนแน่นอน" ลาม็อตต้า กล่าวให้ทุกคนอึ้งที่คำพูดของเขาสวนทางกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น
แต่ก่อนที่คนจะงงไปกว่านี้ ลาม็อตต้า ไม่ลืมที่จะตบมุกปิดท้าย.. "ถ้ากรรมการมีเวลาให้อีก 30 วิล่ะก็ ชูการ์ เรย์ จะต่อยผมจนเขาทนเหนื่อยไม่ไหว และยอมแพ้ไปเองแน่นอน"
"ให้ตายสิ ชีวิตนี้ผมสู้กับ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน มาเยอะมาก.. เยอะจนผมกลัวจะเป็นโรคเบาหวานเพราะกินน้ำตาล (Sugar) แล้วเนี่ย"
เจ้าของฝีปากดีกรีหนึ่งในยอดแชมป์โลกรุ่นมิดเดิลเวตตลอดกาลกล่าวปิดท้าย