ผงาดกลายเป็นโคตรมวยไทยแห่งยุคได้อย่างสมศักดิ์ศรีสำหรับ รุ้งนารายณ์ เกียรติหมู่ 9 (ม.รัตนบัณฑิต) หลังจากที่สามารถคว้ารางวัล นักมวยไทยยอดเยี่ยมแห่งปี ของ สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งเตรียมจัดงานมอบรางวัลภายในงานวันนักกีฬายอดเยี่ยม ประจำปี 2561 ที่โรงแรมอโนมาแกรนด์ กรุงเทพฯ ในวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคมนี้
สำหรับ รุ้งนารายณ์ เกียรติหมู่ 9 (ม.รัตนบัณฑิต) หรือ วรวุฒิ โกรธประโคน ปัจจุบันในวัย 24 ปี มีสถิติการชก 11 ไฟต์ ชนะ 9 ครั้ง เสมอ 1 ครั้ง และแพ้ 1 ครั้ง โดยถือเป็นมวยไทยเพชรเม็ดงามจากถิ่นภูธรที่เติบโตมาจาก ค่ายมวยเกียรติหมู่ 9 ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.ตะโกตาพิ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมี “ลุงใจ” สุดใจ ปุ่มประโคน เป็นหัวหน้าคณะ ที่ตั้งค่ายมวยแห่งนี้มานานกว่า 30 ปีแล้ว
จุดเริ่มต้นเส้นทางสายมวยไทยของ รุ้งนารายณ์ เกิดขึ้นเมื่ออายุเพียงแค่ 8 ขวบ โดยเขาเป็นลูกหลานของ สิงห์ดำ เกียรติหมู่ 9 ยอดมวยปี 45 ซึ่งเป็นญาติทางพ่อ และรุ้งนารายณ์ได้ติดตามดูน้าชายขึ้นเวทีชกหลายครั้ง จนกระทั่งมีครั้งหนึ่งพ่อของเขาได้ส่งขึ้นเวทีไปเปรียบ และขึ้นชกในมวยงานวัดแห่งหนึ่งทั้งที่ไม่เคยซ้อมมวยมาก่อน แต่รุ้งนารายณ์กลับโชว์ฟอร์มคว้าชัยบนสังเวียนมาได้ทันที
“จากนั้นผมก็เริ่มชกมวยมาเรื่อยๆ ครับ ตอนนั้นพอได้เห็นพี่ๆ น้าๆ ที่บ้านซ้อมมวยก็รู้สึกชอบ ตอนแรกผมก็ไปซ้อมมวยแถวบ้านเกิดในละแวกเดียวกับค่ายเกียรติหมู่ 9 ของลุงสุดท้าย ตอนนั้นผมรู้สึกว่าซ้อมไม่ค่อยยากครับ พอซ้อมได้จริงๆ จังๆ 2-3 วัน เขาก็พาผมไปเปรียบชกมวยวัดแถวบ้าน ตอนแรกที่ขึ้นชกจริงจังก็ตื่นเต้น แต่ก็สามารถเอาชนะมาได้”
หลังจากนั้น รุ้งนารายณ์ เริ่มหลงใหลในการชกมวยไทย และก็เพียรฝึกซ้อมมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนถูกส่งไปขึ้นชกเวทีมวยงานวัดแถวบ้านใน อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ อย่างต่อเนื่องนานถึง 6 ปี ซึ่งเขาก็โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนเริ่มอายุย่างเข้าสู่ 13 ปี พ่อของรุ้งนายรายณ์พาตัวเข้ามาฝึกซ้อมมวยอย่างจริงจังยิ่งขึ้นที่ค่ายมวยเกียรติหมู่ 9 กับ ลุงสุดใจ ปุ่มประโคน
“ตอนแรกนั้นพอมีงานมวยวัดที่ไหนพ่อก็พาไปเปรียบต่อยมาเรื่อยๆ ทำให้ได้มีโอกาสขึ้นชกอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากนั้นเพื่อนๆ พี่ๆ ที่บ้านเลิกชกมวยกันไปหมด และพวกเขาไปทำงาน รวมทั้งทำอย่างอื่นบ้าง ทำให้ผมไม่มีที่ซ้อม พ่อก็เลยพามาซ้อมกับลุงใจที่ค่ายเกียรติหมู่ 9 ตั้งแต่อายุ 13 ปี และอยู่ในค่ายนี้มา 10 กว่าปีแล้ว”
รุ้งนารายณ์ เล่าให้ฟังต่อว่า หลังจากที่เข้ามาอยู่ในค่ายเกียรติหมู่ 9 แล้ว ทำให้ได้เริ่มมีโอกาสออกเดินสายชกมวยทั่วประเทศ และพอน้ำหนักตัวเข้าสู่ 33 กิโลกรัม ก็เริ่มเข้าไปชกในกรุงเทพฯ ซึ่งตอนแรกที่ไปชกรู้สึกตื่นเต้น แต่ก็เอาชนะได้ ตอนนั้นดีใจมาก จากนั้นเริ่มชกมากขึ้น เริ่มมีประสบการณ์ และเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นจากการไปชกเวทีมวยมาตรฐานในเมืองกรุง
สำหรับเข็มขัดแชมป์เส้นแรกของ รุ้งนารายณ์ เกียรติหมู่ 9 คือ การคว้าแชมป์ประเทศไทย รุ่น 108 ปอนด์ หลังจากนั้นในปี 2551 เขาคว้าเข็มขัดแชมป์เส้นที่สองในการชิงแชมป์รุ่น 108 ปอนด์ ที่เวทีราชดำเนิน ด้วยการชนะ สะท้านเมืองเล็ก ต่อมาเข็มขัดเส้นที่สามได้จากการขยับขึ้นมาชิงแชมป์รุ่น 112 ปอนด์ มวยไทยศึกทรูโฟร์ยู ด้วยการชนะรุ่นพี่ร่วมเมืองบุรีรัมย์ด้วยกันคือ พลังพล
ถัดมาเขาขยับรุ่นขึ้นมาคว้าแชมป์รุ่น 115 ปอนด์ เวทีลุมพพินี ก่อนที่ล่าสุดกระชากแชมป์รุ่น 118 ปอนด์ มวยไทยศึกทรูโฟร์ยู ได้อีกเส้น ซึ่งที่ผ่านมา รุ้งนารายณ์ ปราบมวยดังมาแล้วหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น เด็ดขาด ป.พงษ์สว่าง, สะท้านเมืองเล็ก, พลังพล, สราวุธ, สามดี, เพชรสยาม (ตี๋ยูเอส) ส่วนต่างศึกก็ชนะ เสาเอก, เขี้ยว พรัญชัย, เพชรสุพรรณ ป.ดาวรุ่งเรือง และอีกหลายคน
รุ้งนารายณ์ สามารถยืนหยัดอยู่บนสังเวียนมานาน 16 ปีเต็มๆ ซึ่งถือว่า เขาเกิดมาจากการเป็น “ยอดมวยภูธร” แต่ได้กลายเป็น “โคตรมวยแห่งยุค” ที่กวาดเข็มขัดแชมป์มามากมาย และปราบมวยดังมาแล้วนับไม่ถ้วน จนทำให้เขาได้รับรางวัลนักมวยยอดเยี่ยมแห่งปีในปีนี้มาครองได้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
“ผมรู้สึกดีใจ และเป็นเกียรติมากที่สามารถคว้ารางวัลนักมวยยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยได้ ซึ่งที่ผ่านมาผมซ้อมอย่างหนัก ขณะที่ การดูแลตัวเองนั้น ผมทำเต็มที่หลังจากกลับจากโรงเรียนก็เก็บตัวฝึกซ้อมมาตลอด และไปขึ้นชกตามเวทีมวยต่างๆ จนก้าวมาถึงจุดนี้ได้”
ส่วนชีวิตนอกสังเวียนมวยไทยนั้น รุ้งนารายณ์ อาศัยอยู่ที่บ้านเกิดละแวกค่ายเกียรติหมู่ 9 ซึ่งในเวลาว่างเขาก็หากบ หาปลา เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย และใช้ชีวิตอย่างติดดิน ไม่เหมือนกับชื่อเสียงของเขาก็กลายเป็นโคตรมวยดังคับฟ้า ซึ่งถือเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองไปเลยแม้ว่าจะก้าวไปมีชื่อเสียง และมีค่าตัวมวยระดับเงินแสนเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม รุ้งนารายณ์ ยอมรับว่า แม้ตัวเองจะมีจุดเด่นในการชกที่มีอาวุธครบเครื่องหลากหลาย แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องปรับแก้คือ เรื่องของการไม่ประมาทคู่ต่อสู้ รวมถึงการเก็บตัวฟิตซ้อมบางครั้งอาจยังไม่ดีพอกว่าคู่ชก ส่วนอนาคตจะชกมวยไทยไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างกายจะไม่ไหว แต่หลังจากที่เลิกชกมวยแล้วยังจะยังคงคลุกคลีอยู่ในวงการมวยไทยต่อไปในฐานะครูมวย
“หลังจากเลิกชกมวยผมก็อยากที่จะเป็นครูมวยสอนต่างประเทศก็ได้ครับ และก็ยังคงอยู่กับวงการมวยไทยไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ตั้งเป้าว่าจะชกไปจนกว่าร่างกายจะไม่ไหวแล้วก็ค่อยว่ากันอีกทีครับ ก็จะชกไปเรื่อยๆ และอยากทำผลงานให้ดีที่สุด โดยที่ผ่านมาก็ต้องขอบคุณลุงสุดใจที่ดูแลทุกอย่าง”
รุ้งนายรายณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ลุงสุดใจดูแลนักมวยทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน เรื่องการบำรุงให้นักมวยมีแรง เรื่องการหลับนอน และเรื่องอื่นๆ ที่ดูแลดีทุกอย่าง ส่วนแฟนมวยที่ติดตามก็ต้องขอขอบคุณแฟนคลับ เอฟซี และพี่น้องทางบ้านที่ช่วยเป็นกำลังใจมาให้ตลอด จนกระทั่งวันนี้สามารถคว้ารางวัลยอดมวยมาครองได้สำเร็จแล้ว ซึ่งต้องขอบคุณทุกแรงใจแรงเชียร์มาก
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา “รุ้งนารายณ์ เกียรติหมู่ 9” ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาได้มาจาก “ยอดมวยภูธร” และก้าวขึ้นมาเป็น “โคตรมวยแห่งยุค” ได้อย่างยิ่งใหญ่
เส้นทางบนสังเวียนมวยไทยของเขาจะยังคงเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับตัวเองไปอย่างต่อเนื่อง…