ชายออสเตรียพิการช่วงล่าง ถูกสาวไทยหลอกเอาเงินเกือบ 10 ล้านบาท เปย์ให้ทุกอย่างแต่ถูกหักหลัง ใครเจอตัวมีรางวัล
(5 มิ.ย.63) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบ Mr.Gerhard Peschka อายุ 49 ปี ชาวออสเตรีย ซึ่งพิการทางร่างกายช่วงล่าง ที่บ้านพักผู้สูงอายุ ซันไชน์ อินเตอร์เนชั่นแนล ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หลังได้รับข้อมูลว่า นักท่องเที่ยวชาวออสเตรียรายนี้ ถูกสาวไทยซึ่งมีอาชีพขับรถแท็กซี่ที่ จ.เชียงใหม่ หลอกเอาเงินไปเกือบ 10 ล้าน ทำให้เขาแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ต้องหนีมาพักรักษาตัว ที่บ้านพักผู้สูงอายุที่อำเภอหัวหิน อยากขอความช่วยเหลือจากทนายดีๆ และตำรวจ เนื่องจากผ่านมาเกือบหกเดือนต้องเสียเงินในการติดตามตัวหญิงคนดังกล่าวไปจำนวนมาก แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ อยากได้เงินคืนเพื่อไว้รักษาตัว แม้จะไม่ครบตามจำนวนที่เสียไปก็ตาม
แกร์ฮาร์ด นักท่องเที่ยวชาวออสเตรีย เล่าให้ฟังว่า ตนเองป่วยจากปัญหากระดูกสันหลัง มาประมาณ 20 ปี จนทำให้พิการช่วงล่าง เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมาได้เดินทางมาเที่ยวประเทศไทย หลายแห่ง ก่อนจะไปเที่ยว จ.เชียงใหม่ และได้พบกับ เอมี่ อายุ 49 ปี หญิงสาวชาวเชียงใหม่รายหนึ่ง ที่มีอาชีพขับรถแท็กซี่ เอมี่ เป็นคนคุยสนุก และดูแลตนเป็นอย่างดี พูดจาถูกคอกันดี จึงตกลงว่าจ้างเอมี่ ให้พาไปเที่ยวหลายแห่ง หลังจากกลับไปต่างประเทศ ก็กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง ซึ่งในระหว่างนั้นมีการติดต่อกันเรื่อยมาผ่านแอพพิเคชั่น
เมื่อเห็นว่า เอมี่ ดูแลเป็นอย่างดี ประกอบกับอายุรุ่นราว คราวเดียวกัน น่าจะเข้าใจกันดี จึงได้ตกลงกันว่า ตนเองต้องการมาอยู่เมืองไทย เนื่องจากอากาศดี มาอยู่แล้วสุขภาพดีขึ้น โดยจะให้เอมี่ เป็นคนดูแล ซึ่งตนสัญญาว่าจะทำให้ชีวิตของเอมี่ดีขึ้น โดยได้โอนเงิน เพื่อซื้อบ้าน ราคา 4.5 ล้านบาท ซื้อรถเบนซ์ให้ 1 คัน มูลค่า 2.9 ล้านบาท รถยนต์ฮอนด้า HR-V อีก 1 คัน มูลค่า 1.1 ล้านบาท ค่าเปิดร้านขายเครื่องเงิน และค่าตกแต่งบ้านอีกเกือบ 1ล้านบาท โดยมีการตกลงกันว่า จะแต่งงานจดทะเบียนสมรสกัน เพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิตอยู่เมืองไทย เพราะเป็นคนต่างชาติ อยากหาคนดูแลที่เข้าใจ
แต่ในระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่กับเอมี่ที่เมืองไทย แรกๆ ตนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ต่อมามีการพาผู้ชายเข้ามาแนะนำบอกว่าเป็นพี่ชาย ซึ่งตนมาสืบทราบภายหลังว่าเป็นสามีเก่า และเคยมีคดีฉ้อโกงร่วมกัน เอมี่มักจะพาเพื่อนมาเลี้ยงสังสรรค์ ใช้เงินของตนอย่างฟุ่มเฟือย บางมื้อต้องจ่ายถึง 5-6 พันบาท ระยะหลังเริ่มไม่ค่อยอยู่บ้าน ได้จ้างคนมาดูแลตนเอง ดูแลบ้านอีก 3 คน โดยอ้างว่าเพื่อความสะดวกสบาย และความปลอดภัย แต่ลูกจ้างเหล่านี้กลับทำหน้าที่คอยจับตาดู และคอยถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ รายงานเอมี่ทุกฝีก้าว ซึ่งตนเองก็เริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติ ประกอบกับมีคนมาบอกว่า เอมี่ มีพฤติกรรมฉ้อโกง ตนจึงเริ่มสืบ
กระทั่งมีความจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดกระดูกไขสันหลัง ต้องใช้เงินประมาณ 8 แสนบาท จึงได้บอกให้ อมี่ขายรถ แต่กลับต่อรองกับตนว่า ต้องการขอส่วนแบ่งจากการขายรถ 2 แสนบาท ซึ่งตนมองว่าไม่ถูกต้อง เพราะเงินซื้อรถทั้งหมดเป็นเงินของตนเอง จึงทำให้มีปัญหากันมากขึ้น สุดท้ายตนตรวจสอบพบว่า ไม่มีการนำเงินไปจ่ายค่าบ้าน 4 ล้านบาท มีการจ่ายไปเพียง 2.5 แสนบาท ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นเงินจองหรือเงินดาวน์ ร้านเครื่องเงินที่ให้เงินไปตกแต่งร้าน ก็ไม่มีการเปิดร้านจริง และล่าสุดติดต่อไม่ได้ เมื่อสืบเยอะขึ้นถึงรู้ว่า เอมี่ เคยเปลี่ยนชื่อมาแล้วถึง 5 ครั้งแล้ว
ทั้งนี้ตนได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ จ.เชียงใหม่ พร้อมกับว่าจ้างทนายความให้ทำคดีให้ รวมทั้งให้ตามสืบติดตามตัว เอมี่มาเจรจาเพื่อคืนเงิน ซึ่งตนต้องเสียเงินไปกับตำรวจและทนาย จำนวนมากแล้ว แต่คดีไม่มีความคืบหน้าใดๆ อ้างว่าเป็นช่วงเกิดโรคระบาด โควิด-19 เรื่อยมา
ตนต้องการเงินคืนไว้รักษาตัว หากได้คืนไม่ครบที่เสียไปก็ยังดีกว่าสูญทั้งหมด อยากได้เงินคืนมากกว่า การดำเนินคดี หากเจรจาตกลงกันได้ก็จะไม่ดำเนินการทางกฎหมาย และหากใครมีเบาะแสที่ชัดเจน จนสามารถติดตามตัวมาได้ ตนมีรางวัลมอบให้