นักธุรกิจหนุ่มรายหนึ่งโพสต์ในเฟซบุ๊กเมื่อไม่นานมานี้ว่า ที่จริงแล้วไม่มีแฮกเกอร์มาขโมยรหัสผ่าน OTP (โอทีพี) สำหรับทำธุรกรรมใดๆ ทั้งสิ้น แต่เงินราว 400,000 บาทในบัญชีของตนที่หายไป ที่แท้เป็นฝีมือคนในครอบครัว
"ขอบคุณทุกๆ คนมากๆ ที่ส่งข้อความมาให้กำลังใจ... ตอนนี้ผมรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว คนร้ายไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ไม่ใช่แฮกเกอร์ ไม่ได้ขโมย OTP จากมือถือ แต่คือคนในครอบครัว" นักธุรกิจหนุ่ม โพสต์
เมื่อช่วงกลางเดือน พ.ค. นักธุรกิจหนุ่มรายนี้เคยโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กว่าตนถูกมิจฉาชีพเจาะบัญชีธนาคารและนำเงินออกไป ด้วยการให้นำซิมโทรศัพท์มือถือ ใส่เข้าไปในโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ที่นำมาส่งให้ โดยอ้างว่าเป็นของขวัญจากการร่วมสนุกกับค่ายโทรศัพท์ ซึ่งทำให้สงสัยว่าเป็นขั้นตอนที่ใช้เจาะเข้าระบบหรือไม่
ไม่ใช่แค่นั้น นักธุรกิจหนุ่มรายนี้ยังเคยโพสต์กล่าวหานักข่าวคนหนึ่งว่าเป็นหนึ่งในขบวนการหลอกลวงตน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนักธุรกิจหนุ่มรายนี้ โพสต์ว่าทราบตัวผู้ก่อเหตุแล้วว่าเป็นคนในครอบครัว นักข่าวคนดังกล่าวโพสต์ลงในเฟซบุ๊กวันนี้ (25 พ.ค.) ว่าเรื่องที่ตนถูกกล่าวหา ทำให้ชื่อเสียงของตนเสียหายอย่างหนัก ซึ่งกระทบต่องานหลักคืองานนักข่าวและงานเสริมอื่นๆ ที่ตนทำอยู่
นักข่าวรายนี้ โพสต์ต่อไปว่า แม้นักธุรกิจหนุ่มขอโทษตนแล้ว แต่ชื่อเสียงที่ถูกทำลายทำให้ตนต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และเตรียมไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) เตาปูน
"เรื่องราวที่เกิดขึ้นคือเรื่องฝันร้ายที่สุดในชีวิต หน้าที่การงานพัง ทุกอย่างพัง ชื่อเสียงที่สร้างมาหายไปในพริบตา แต่วันนี้ความจริงปรากฎแล้วว่าผมไม่ได้เกี่ยวของกับเรื่องราวที่กำลังเป็นกระแสในโลกออนไลน์ ทางเจ้าของโพสต์ได้โพสต์ขอโทษผมแล้ว แต่ทั้งนี้ ชื่อเสียงที่ผมเสียไปมันไม่สามารถเอากลับมาได้ งานสื่อ (นักข่าว) ที่ผมรัก ผมยังอยากทำมันต่อ ดังนั้นผมต้องดำเนินคดีทางกฏหมายให้ถึงที่สุดเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และสร้างความมั่นใจกับสิ่งที่ผมเสียไป เรียนพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่านร่วมทำข่าว วันนี้เวลา 13.00 น. สน.เตาปูน ครับ" นักข่าว โพสต์