จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) โดยความตอนหนึ่ง ระบุว่า จะออกจดหมายเปิดผนึกถึงมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย 20 ท่าน ขอให้มาร่วมกันช่วยเหลือประเทศฝ่าวิกฤตโควิด-19
(30 เม.ย.63) มีรายงานว่า ครอบครัว “อยู่วิทยา” ได้ตอบรับร่วมมือรัฐบาลแก้วิกฤตโควิด-19 โดยในหนังสือตอบรับ มีใจความสำคัญ ดังนี้
ตามที่ท่านได้มีหนังสือ “ขอความร่วมมือระดับชาติเพื่อเอาชนะโควิด-19 ไปด้วยกันทั้งประเทศ” และส่งมายังผมนั้น ผมและครอบครัวอยู่วิทยาทุกคนต่างมีความรู้สึกกังวลใจไม่ต่างไปจากคนไทยทั้งประเทศ และนับตั้งแต่เริ่มต้นการระบาดของโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน ครอบครัวอยู่วิทยาได้เฝ้าติดตามสถานการณ์ และได้ลงมือให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
ครอบครัวอยู่วิทยาตระหนักดีว่าการระบาดที่รุนแรงทำให้ธุรกิจเกือบทั้งหมดที่หล่อเลี้ยงประเทศ หยดุชะงักสร้างความทกุข์ยากเดือดร้อนแสนสาหัสให้กับประชาชนคนไทย นอกจากนั้นจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น ยังสะท้อนถึงจำนวนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นสำหรับโรคอุบัติใหม่เริ่มขาดแคลน
ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งที่มีความรับผิดชอบต่อประเทศ พวกเราไม่รีรอที่จะยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่จำเป็นโดยทันที ซึ่งผมจะขออนุญาตนำเรียนเพื่อทราบ ดังนี้
สิ่งที่ครอบครัวอยู่วิทยาได้ทำไปแล้ว
- บุคลากรทางการแพทย์
ครอบครัวอยู่วิทยาและบริษัทของครอบครัว ตระหนักถึงความจำเป็นที่บุคลากรทางการแพทย์ จะต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ เพื่อนำมาใช้รักษาชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างทันท่วงที เราจึงได้ใช้ทรัพยากรของบริษัทที่มีทั้งหมด เพื่อช่วยกันดำเนินการจัดซื้อ จัดหา และส่งมอบให้กับโรงพยาบาลที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อาทิ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี และโรงพยาบาลอื่นๆ ที่มีความต้องการทั่วประเทศ รวมถึงยังได้บริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลไว้ใช้จ่ายในการจัดเตรียมครุภัณฑ์ต่างๆ เพื่อรองรับผู้ป่วยรวมมูลราคากว่า 70 ล้านบาท
- กลุ่มพนักงานบริษัทพนักงานขายและพนักงานโรงแรม
ครอบครัวอยู่วิทยาและบริษัทของครอบครัว มีความห่วงใยในสวัสดิภาพของพนักงานทุกคน การดูแลพนักงานเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีมีความปลอดภัยทั้งสุขภาพกายสุขภาพใจและมีความมั่นคงในอาชีพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ เราก็ไม่มีนโยบายปลดพนักงานแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเรากลับขยายตำแหน่งงานเพิ่มเติมอีกหลายตำแหน่ง นอกจากนั้นเรายังสนับสนุนให้พนักงานทำงานที่บ้านเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ที่อาจได้รับจากการเดินทาง และสำหรับพนักงานที่ทำงานเป็นกะเราได้สนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อให้กับพนักงาน รวมถึงติดตั้งอุปกรณ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อไว้ในสถานที่ทำงานและภายในโรงงาน
-ประชาชนทั่วไป
เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ ในเบื้องต้นครอบครัวอยู่วิทยาได้บริจาคอาหารและน้ำดื่มให้กับประชาชนที่ตกงาน ขาดแคลนรายได้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน เป็นเวลา 3 เดือน
นอกจากนั้นยังได้จัดทำถุงยังชีพ แอลกอฮอล์เจล และหน้ากากผ้า มอบให้กับชุมชนต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอีกด้วย
สิ่งที่ครอบครัวอยู่วิทยาจะทำต่อไป
วิกฤตครั้งนี้ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจมากมาย ทั้งปัญหาการขาดรายได้ของผู้มีรายได้น้อย ปัญหาหนี้ครัวเรือน ปัญหาอาชญากรรม และปัญหาด้านสุขภาพจิต ซึ่งล้วนเป็นอุปสรรคต่อความมั่นคงในการดำรงชีวิตทั้งสิ้น ครอบครัวอยู่วิทยามองว่าชีวิตหลังโควิด-19 คนไทยต้องเผชิญกับความผันผวน และความไม่แน่นอน การดำเนินชีวิตจะมีความซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงไป วิธีคิดและวิถีชีวิตใหม่ที่ต่างไปจากเดิมจะปรากฏชัดเจนขึ้น
ครอบครัวอยู่วิทยาจึงให้ความสำคัญกับปัญหาปากท้องของประชาชน โดยจะสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร เพื่อให้ทุกคนที่เข้าร่วมโครงการที่เรากำลังจะทำ ได้มีกินมีใช้โดยสามารถพึ่งตนเองได้ในภาวะวิกฤต รวมถึงอาจจะมีกำลังเหลือไปช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป
ครอบครัวอยู่วิทยา จะให้การสนับสนุนเงินทุนเบื้องต้นจำนวน 300 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีแรก เพื่อทำโครงการ “พึ่งตน เพื่อชาติ” โดยร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ และภาคการศึกษา อาทิเช่น สถาบันอาศรมศิลป์ และเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ในการสนับสนุนและเป็นพี่เลี้ยงให้กับคนที่มีเป้าหมายชีวิตเพื่อเศรษฐกิจพอเพียง ได้รับการฝึกปฏิบัติวิธีการสร้างแหล่งอาหารเพื่อดูแลตนเองและครอบครัว จาก 100 คนแรกที่ผ่านการบ่มเพาะจะออกไปแบ่งปันให้กับคนอื่นอีก 100 คน ก่อนที่จะขยายออกไปสู่อีก 100 ชุมชนใกล้เคียง ด้วยโมเดลการพึ่งพาตนเองแบบนี้จะนำพาคนไทย 1,000,000 คนให้รอดพ้นจากความอดอยากที่เผชิญอยู่ได้
โครงการ “พึ่งตน เพื่อชาติ” ยังจะแสดงให้เห็นว่ายิ่งแบ่งปันยิ่งแลกเปลี่ยนมากขึ้นเท่าใด เศรษฐกิจชุมชนซึ่งถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศก็จะยิ่งมีความมั่นคงและเข้มแข็งมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนั้นเรายังพร้อมที่จะสนับสนุนที่ดินว่างเปล่าของครอบครัวเพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้ใช้เป็นต้นทุนในการเรียนรู้และพัฒนา
ครอบครัวอยู่วิทยา ขอร่วมเป็นหนึ่งในทีมประเทศไทยเพื่อขับเคลื่อนให้โครงการนี้ เกิดเป็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนสวยงามและแสดงให้ทั่วโลกได้เห็นถึงแนวทางการนำพาคนไทยให้ก้าวพ้นวิกฤตด้วยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 และเมื่อทุกคนร่วมกันทำไม่ว่าจะมีวิกฤตร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้นอีกเราก็จะสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ มีอาหารบริโภคได้อย่างยั่งยืนสังคมก็จะยั่งยืนและประเทศชาติก็จะยั่งยืนในที่สุด
โควิด-19 ถือเป็นวิกฤตของโลก การออกจากวิกฤติโดยให้บาดเจ็บน้อยที่สุดเป็นสิ่งจำเป็น พวกเราทุกคนที่เป็นผู้ประกอบการยินดีที่จะช่วยประเทศอย่างเต็มที่ พวกเราพร้อมที่จะเดินเครื่องอย่างเต็มกำลังอีกครั้ง พร้อมที่จะจ้างคนเพิ่มอีกครั้ง พร้อมที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับคนไทย พวกเราทุกคนที่เป็นผู้ประกอบการไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่พร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าขอเพียงให้รัฐบาลช่วยพิจารณากฎระเบียบวิธีการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
รวมทั้งการที่องค์กรธุรกิจ จะช่วยเหลือสังคมและประชาชนให้มีความยืดหยุ่นคล่องตัวมากขึ้น รวมถึงรัฐบาลอาจพิจารณาตั้งหน่วยงานกลางที่รวมศูนย์การบริหารในภาวะวิกฤตไว้ในหน่วยงานเดียว เพื่อคอยสนับสนุนและผลักดันให้ผู้ประกอบการได้ทำงานรวดเร็วขึ้น คล่องตัวขึ้น ช่วยขจัดอุปสรรคที่ไม่เอื้อต่อการก้าวไปข้างหน้าของประเทศ โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดฝอยที่แผ่กิ่งก้านสาขาหล่อเลี้ยงคนในประเทศหลาย 1,000,000 คน ได้มีงานทำและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นี่เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องการมากที่สุดในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้
โควิด-19 ยังได้ทดสอบประเทศไทยว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหนในการรับมือกับโรคอุบัติใหม่ซึ่งนักรบเสื้อขาว ทัพหน้าที่แข็งแกร่งของเราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าประเทศไทยมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เก่งมากมาย มีระบบสาธารณสุขที่ดีไม่แพ้ชาติใดในโลก จนได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ขณะเดียวกันโควิด-19 ยังบอกให้รู้อีกว่าอะไรคือสิ่งที่ประเทศไทยควรเตรียมความพร้อมให้มากขึ้น ซึ่งครอบครัวอยู่วิทยาขอให้รัฐบาลได้โปรดพิจารณาบรรจุข้อเสนอแนะนี้ เป็นวาระแห่งชาติ วาระที่จะยึดความมั่นคงของความเป็นมนุษย์เป็นตัวตั้ง เพื่อยกระดับทุนมนุษย์ของเราให้สูงขึ้นประกอบด้วย
1.การมีโรงงานผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มากพอ
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยจะลดการพึ่งพาเวชภัณฑ์จากต่างชาติ และหันมาส่งเสริมการผลิตในประเทศด้วยการสนับสนุนให้มีการตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทยมากขึ้น และมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนคนไทยจะมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ใช้อย่างเพียงพอเมื่อถึงคราวที่จำเป็น
2.การจัดตั้งคลังอาหารและเวชภัณฑ์แห่งชาติ
โลกหลังโควิด-19 จะเปลี่ยนไปความหวัดระแวงจะมีเพิ่มมากขึ้น ความวิตกกังวลจะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต รัฐบาลควรที่จะสร้างความมั่นคงให้กับพี่น้องประชาชน ด้วยการจัดตั้งคลังอาหารและเวชภัณฑ์แห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าจะมีอาหารและเวชภัณฑ์ที่เพียงพอ หากต้องต่อสู้กับวิกฤตใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตและเมื่อประชาชนมั่นใจการทำงานเพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า จะเป็นไปด้วยความสบายใจและเต็มศักยภาพยิ่งขึ้น
3.การปลูกฝังการหาเลี้ยงชีพแบบพึ่งพาตนเอง
ไทยถือเป็นประเทศที่มีวินัยทางการเงิน การคลัง ที่ดีเยี่ยมประเทศหนึ่งถึงกระนั้นในยามวิกฤตเมื่อคนไม่มีเงินจะซื้ออาหาร รัฐบาลก็อาจจะจุนเจือคนทั้งประเทศได้ไม่เพียงพอและทั่วถึง การสอนให้ทุกคนสามารถพึ่งพาตนเองได้ดูจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดเพราะประเทศไทยได้ชื่อว่า เป็นครัวของโลก เรามีแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์มากมายแต่เราขาดการเรียนรู้เพื่อที่จะหามา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะปลูกฝังเรื่องนี้ให้กับคนไทยตั้งแต่เล็กๆ
ครอบครัวอยู่วิทยาเชื่อว่าท่านในฐานะผู้นำจะสามารถพาประเทศให้ก้าวพ้นวิกฤต โควิด-19 ไปได้ และพวกเราในฐานะผู้ประกอบการและประชาชนคนไทย ยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือประเทศของเราในครั้งนี้
จากข้อมูลของ Forbes Thailand ซึ่งได้มีการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทยในปี 2563 โดยอันดับที่ 2 คือ นายเฉลิม อยู่วิทยา มีทรัพย์สินมูลค่า 2.02 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 6.6 แสนล้านบาท