หลังจากหายไป 17 ปี กลิ่นอายของบทบาท American Bad Ass กลับมาอีกครั้ง ในศึก WrestleMania 36 หลัง ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ กลับคืนสู่ WWE เพื่อขึ้นปล้ำแมตช์สุดพิเศษ ที่บรรจุเรื่องราวการเดินทางตลอด 30 ปี ของเขาเอาไว้
Main Stand พาคุณย้อนดูบทบาท American Bad Ass ตัวตนแท้จริงของ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ที่กลายเป็นบทบาทส่วนสำคัญ ช่วยรักษาคาแรกเตอร์ของนักมวยปล้ำรายนี้ จนมีอายุยืนยาว 30 ปี และเป็นที่รักของแฟนมวยปล้ำทั่วโลกตราบจนทุกวันนี้
The Deadman had Fallen
ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ เปิดตัวครั้งแรกในศึก Survivor Series ปี 1990 นักมวยปล้ำรายนี้สามารถมัดใจแฟนมวยปล้ำทันที แม้ยังไม่ได้ขึ้นปล้ำ ด้วยภาพลักษณ์แปลกใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจสัปเหร่อในยุค 1850’s
กิมมิคของ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ไม่มีจุดอ่อน ไล่ตั้งแต่ เครื่องแต่งกาย เพลงเปิดตัว ท่าไม้ตายและการจับกดที่เป็นเอกลักษณ์ (Tombstone Piledriver) ทุกอย่างหล่อหลอมให้ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ กลายเป็นคาแรกเตอร์ที่ทรงพลังมากที่สุด ส่งผลให้เขาถูกผลักดันอย่างรวดเร็ว
ปี 1991 ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ คว้าแชมป์โลก WWF มาครองได้สำเร็จ ในฐานะนักมวยปล้ำฝั่งอธรรม หลังจากนั้นไม่นาน “ดิ อันเดอร์เทคเกอร์” พลิกกลับมาเป็นฝั่งธรรมะ เนื่องจากความนิยมของแฟนมวยปล้ำ และยึดตำแหน่งนักมวยปล้ำระดับสูงของสมาคมนับแต่นั้น
ในช่วงเวลาเดียวกับที่ “ดิ อันเดอร์เทคเกอร์” รุ่งเรืองสมาคม WWF กำลังร่วงหล่นและเสื่อมความนิยม แฟนมวยปล้ำเบื่อหน่ายแนวทางการสร้างคาแรกเตอร์ของ WWF ที่มีความแฟนตาซีมากเกินไป ผู้คนหันหน้าไปดูสมาคม WCW ที่นำเสนอมวยปล้ำแนวทางสมจริง
WWF ประกาศแก้เกมด้วยการเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า “ยุคแอดติจูด” (Attitude Era) ในปี 1998 มวยปล้ำในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีความดุเดือดมากขึ้น ฮาร์ดคอร์มากขึ้น สมจริงมากขึ้น สวนทางกัน ความแฟนตาซีหรือบทบาทที่ดูเกินจริงเริ่มลดหายไป
คาแรกเตอร์เดียวที่สามารถอยู่รอดจากต้นทศวรรษ จนถึงช่วงยุคแอดติจูด คือ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ นักมวยปล้ำสัปเหร่อรายนี้ กลายเป็นดาวค้างฟ้าที่ยังคงได้รับความนิยมจากแฟนมวยปล้ำ อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการดำเนินเนื้อเรื่อง บทบาทนี้เดินมาถึงทางตัน เนื่องจากพลังเหนือธรรมชาติของ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ไม่สามารถนำมาเขียนบทบาท ที่สมเหตุสมผลได้อีกแล้ว
ปี 1999 WWF จึงเสี่ยงดวงครั้งใหญ่กับ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ด้วยการพลิกบทบาทจากแอนตี้ฮีโร่ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ ให้กลายเป็นวายร้ายผู้นำกลุ่มอธรรมสุดคัลต์ Ministry of Darkness ที่ไปสุดโต่งถึงขนาดจับตัวผู้หญิงมาขึ้นแท่งเหล็กลักษณะไม้กางเขน เพื่อเตรียมทำการบูชายัญแก่ปีศาจแห่งความมืด
เนื้อเรื่องดังกล่าวได้รับความนิยมในหมู่แฟนมวยปล้ำ แต่สำหรับ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ เขากลับไม่ชอบบทบาท Ministry of Darkness เนื่องจากมองว่ามืดหม่นเกินไป ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ จึงเข้าพูดคุยกลับผู้บริหาร WWF โดยขู่ว่า หากไม่สามารถหาข้อตกลงถึงบทบาทที่ดีขึ้นได้ เขาจะย้ายไปอยู่กับค่ายคู่แข่ง WCW
ความเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่รู้แน่คือ คาแรกเตอร์สัปเหร่อจากความตายของ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ กำลังจะจบลงในไม่ช้า เมื่อนาฬิกาหนุนเข้าสู่ปี 2000 แฟนมวยปล้ำทั่วโลกจะไม่ได้เห็น “Deadman” รายนี้อีกต่อไป
American Bad Ass
ปลายปี 1999 ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ หายไปจากวงการมวยปล้ำนาน 8 เดือน ระหว่างนั้น ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ได้ละทิ้งบทบาทบนเวที และกลับสู่ตัวตนของ มาร์ค คาลาเวย์ (Mark Callaway) ชายหนุ่มจากรัฐเท็กซัสที่ชอบพูดจาโผงผาง หลงรักการขี่บิ๊กไบค์ ชื่นชอบเพลงร็อคและรอยสัก รวมถึงคลั่งไคล้ตัวตนของความเป็นอเมริกัน
มาร์ค คาลาเวย์ ยินดีที่จะกลับไปรับบทบาท ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ อีกครั้ง แต่ต้องไม่ใช่อย่างที่เคยเป็น เขายืนกรานว่าจะไม่กลับไปใส่เสื้อโค้ทสีดำทะมึน เพื่อรับบทสัปเหร่อผู้เงียบขรึมอีกต่อไป คาลาเวย์ ต้องการแสดงชีวิตจริงของเขาบนเวทีมวยปล้ำ วิถีชีวิตของหนุ่มเท็กซัสที่เก็บงำเป็นความลับมานานนับ 10 ปี
“ผมเชื่อว่ามาร์ค มองกิมมิค American Bad Ass ในมุมของคาแรกเตอร์ที่เขาควรจะเป็น เขาต้องการรับบท ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ต่อไป แต่ไม่ต้องการเดินแบบคนตาย หรือทำท่าทางอะไรเดิมๆอีกแล้ว” บรูซ พริชาร์ด (Bruce Prichard) โปรดิวเซอร์ของ WWE เล่าถึงจุดเริ่มต้นบทบาท American Bad Ass
“อันเดอร์เทคเกอร์ หรือ มาร์ค คัลลาเวย์ คือสิงห์มอเตอร์ไซค์ไอ้ตัวแสบ คาแรกเตอร์ American Bad Ass มีความสมจริงต่อตัวตนของ มาร์ค คัลลาเวย์ มากกว่า ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ และเขาก็ชอบมันมากกว่าด้วย”
WWF ตกลงรับไอเดีย American Bad Ass เพื่อรั้ง ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ให้อยู่กับสมาคมต่อไป เขายกเลิกการเจรจากับ WCW ตามสัญญา และเดินหน้าพัฒนาคาแรกเตอร์ที่ต้องการทันที
ศึก Judgement Day ปี 2000 ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ปรากฏตัวต่อหน้าแฟนมวยปล้ำด้วยภาพลักษณ์ American Bad Ass เขาคือสิงห์นักบิดผมยาวสวมแว่นดำ สวมชุดหนังนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์ พร้อมกับเพลงเปิดตัวแนว Nu metal อย่าง American Bad Ass จากศิลปิน Kid Rock
ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ สนุกไปกับบทบาท American Bad Ass เขาพยายามสร้างสิ่งใหม่ให้คาแรกเตอร์นี้ ไม่ว่าจะเป็น การใช้มอเตอร์ไซค์ไม่ซ้ำคันต่อการเปิดตัวแต่ละครั้ง, นำเพลงแนว Nu metal ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนั้น มาเป็นเพลงเปิดตัว, คิดท่าไม้ตายใหม่ชื่อ “Last Ride” หรือ ผลิตเสื้อยืด DEADMAN INC. ที่ผสานเรื่องราวสัปเหร่อเข้ากับวัฒนธรรมไบค์เกอร์ Old School
American Bad Ass เข้ามาเป็นคาแรกเตอร์ที่เติมเต็มช่องว่างจากบทบาทนักมวยปล้ำขวัญใจแรงงานของ “สโตน โคลด์” สตีฟ ออสติน ("Stone Cold" Steve Austin) American Bad Ass คือตัวแทนวิถีชีวิตไบค์เกอร์ทางตอนใต้ ทำให้บทบาทนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจากแฟนมวยปล้ำ ที่กำลังโหยหาคาแรกเตอร์แบบนี้ใน WWF
ไม่เพียงแต่เป็นคาแรกเตอร์ที่ใช่สำหรับแฟนมวยปล้ำ บทบาท American Bad Ass ยังเป็นคาแรกเตอร์ที่ใช้สำหรับตัวเขาเอง เนื่องจากตัวตนของที่เคยสร้างไว้ตั้งแต่ปี 1990 ไม่ได้หายไปไหน
ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ในมาดไบค์เกอร์ ยังคงเป็นนักมวยปล้ำธรรมะไม่กลัวใคร แต่แทนที่จะใช้พลังเหนือ American Bad Ass ใช้กำปั้นและหัวใจไล่อัดคู่ต่อสู้ เหมือนเนื้อร้องในเพลงเปิดตัวที่กล่าวว่า “Bad-asses are always kicking asshole’s ass”
บทบาท American Bad Ass ช่วยให้ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ เป็นนักมวยปล้ำเพียงคนเดียวใน WWF ที่ยังรักษาสถานะนักมวยปล้ำระดับสูง ตั้งแต่ยุคทอง (Golden Age) ที่เต็มไปด้วยกิมมิคหลากหลาย จนกระทั่งยุคแอดติจูด ที่แฟนมวยปล้ำต้องการความสมจริง
คาแรกเตอร์นี้เข้ามาชุบชีวิตบทบาท ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ที่กำลังถึงทางตัน ให้ก้าวสู่เส้นทางใหม่ที่ไม่เคยก้าวไปมาก่อน บทบาท American Bad Ass จึงส่งอิทธิพลอย่างมากต่ออาชีพของ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ แม้บทบาทนี้จะมีชีวิตอยู่ไม่นานก็ตาม
30 Years Ride
ยุคแอดติจูด สิ้นสุดลงในปี 2001 หลังชัยชนะของ WWF เหนือ WCW คาแรกเตอร์ American Bad Ass จึงจบลงในปีเดียวกัน ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ เปลี่ยนเป็นฝ่ายอธรรมอีกครั้ง ด้วยบทบาทของ “Big Evil” นักมวยปล้ำสายอันธพาล เขายังขี่บิ๊กไบค์เหมือนเดิม แต่มีความเงียบขรึม และใช้เพลงเปิดตัวเป็นเพลงร็อคธรรมดา ถือเป็นคาแรกเตอร์ American Bad Ass ที่มีความใกล้เคียงกับบทบาทดั้งเดิมมากขึ้น
ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ เปลี่ยนกลับไปเป็นกิมมิคสัปเหร่ออีกครั้ง ในปี 2004 เนื่องจากผู้คนเริ่มเบื่อหน่ายบทบาทสิงห์มอเตอร์ไซค์ ประกอบกับ WWE (WWF เดิม) ในยุคใหม่ที่เรียกว่า Ruthless Aggression มีเนื้อเรื่องกลับมาเปิดกว้างให้แก่กิมมิคเหนือธรรมชาติอีกครั้ง ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ จึงกลายเป็น Deadman นับแต่นั้นเป็นต้นมา
เวลาผ่านไปหลายปี แฟนมวยปล้ำเรียกร้องอยากเห็น ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ กลับมาเป็น American Bad Ass อีกครั้ง แต่ไม่ว่าบทบาทของนักมวยปล้ำรายนี้จะไปในทิศทางใด WWE ไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยน ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ เป็น American Bad Ass ด้วยเหตุผลที่มีความน่าสนใจ
“บทบาท American Bad Ass คือการค้นตัวตนใหม่ให้แก่อันเดอร์เทคเกอร์ มันคือบางสิ่งที่จะพาเขาออกจากบทบาทสัปเหร่อ และทำให้คาแรกเตอร์นี้เดินหน้าต่อไป” บรูซ พริชาร์ด ให้เหตุผล
“ผมไม่คิดว่า วินซ์ แม็คแมน ต้องการให้ตัวตนของ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ในรูปแบบดั้งเดิมหายไปตลอดกาล และแฟนส่วนใหญ่รู้จักบทบาท Deadman มากกว่า มันคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาต้องการอันเดอร์เทคเกอร์แบบเก่า พวกเขาต้องการท่า Tombstone”
เหตุผลของพริชาร์ด สอดคล้องกับสถานการณ์ของ WWE ในปัจจุบัน พวกเขามีฐานแฟนคลับที่เปลี่ยนไปจากยี่สิบปีก่อน ภาพจำของ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ในฐานะสัปเหร่อของแฟนรุ่นใหม่เด่นชัด ขณะที่ภาพของ American Bad Ass เลือนราง และดูเหมือนจะเป็นเพียงความทรงจำที่สวยงาม ให้แฟนรุ่นเก่ารำลึกถึงเท่านั้น
ปี 2020 ความฝันของแฟนมวยปล้ำรุ่นเก่ากลายเป็นจริง ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ปรากฎตัวใน WrestleMania 36 ด้วยบทบาทที่ไม่ใช่สัปเหร่อเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2003 ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ สวมชุดหนัง ใส่ผ้าโพกหัว ขี่บิ๊กไบค์บนถนนอันว่างเปล่า สู่พื้นที่คล้ายสุสาน เพื่อเข้าสู่ Boneyard Match การต่อสู้สุดพิเศษ ระหว่างเขา กับ เอเจ สไตล์ (AJ Styles)
สื่อกีฬาหลายสำนักตื่นเต้นกับการปรากฏตัวในมาดสิงห์นักบิดของ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ประโคมข่าวว่า American Bad Ass กลับมาอีกครั้ง แต่ในความจริงแล้ว American Bad Ass ไม่เคยกลับมา ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ที่เห็นในศึก WrestleMania 36 คือบทบาทใหม่อีกบทบาทหนึ่ง บทบาทที่เป็นลูกผสมระหว่างของสองขั้วในคาแรกเตอร์นี้
ใน Boneyard Match เราได้เห็น ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ปล้ำในสไตล์ของ American Bad Ass แต่ใช้พลังเหนือธรรมชาติแบบ Deadman เข้ามาช่วยต่อสู้ มันคือการผสมผสานคาแรกเตอร์ตลอด 30 ปี ของ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ รวมเป็นหนึ่ง เพื่อแสดงศักยภาพในช่วงบั้นปลายอาชีพออกมาให้ดีที่สุด
ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา มาร์ค คัลลาเวย์ ในบทบาท ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ มีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกันมากมาย แต่ไม่ว่าจะเป็น Deadman หรือ American Bad Ass ทั้งหมดคือตัวตนของ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ที่หล่อหลอมยาวนาน 30 ปี จนกว่าจะถึงทุกวันนี้
Boneyard Match ใน WrestleMania 36 คือ Tribute Match เพื่อขอบคุณความทุ่มเทตลอด 30 ปี ในวงการมวยปล้ำ ของ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ตัวตน American Bad Ass จึงถูกนำกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของคาแรกเตอร์นี้อีกครั้ง เพราะ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ที่สมบูรณ์แบบ ไม่ควรจะมีแค่บทบาทเดียว แต่รวมครบทุกบทบาทตลอดเส้นทาง 30 ปีที่ผ่านมา