เรื่องราวของ นางบัวขัน อายุ 68 ปี และลูกชาย นายเทพพร อายุ 42 ปี แม่ลูกที่เข้าไปอาศัยอยู่ใต้เมรุเผาศพของวัดป่าเนรมิตวิปัสสนา หมู่ 14 บ้านหัวนายูง ต.ศรีสองรัก อ.ด่านซ้าย จ.เลย ซึ่งเป็นห้องทึบ ขนาด 3x3 เมตร ไม่มีไฟฟ้า กลิ่นเหม็นมาก สภาพความเป็นอยู่ไม่เหมาะสม เวลามีศพมาเผาต้องออกไปอยู่ข้างนอก เพราะเกรงใจเจ้าภาพ เผาศพเสร็จแล้วค่อยกลับเข้ามาอยู่ใหม่ โดยลูกชายที่สติไม่ค่อยสมประกอบคอยช่วยงานสัปเหร่อวัด มีรายได้จากการเผาศพละ 200-300 บาท จนเป็นข่าวเมื่อปี พ.ศ.2558 ว่าเป็นปอบ
ล่าสุดวันนี้ เมื่อเวลา 11.00 น. (13 เม.ย.63) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปพบสองแม่ลูกที่เมรุเผาศพวัดป่าเนรมิตวิปัสสนา หมู่ 14 บ้านหัวนายูง ต.ศรีสองรัก อ.ด่านซ้าย จ.เลย พบนางบัวขัน นั่งอยู่หน้าบ้านเพิงสังกะสีเก่าๆ มองท้องฟ้าคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ส่วนลูกชายนายพรเทพ ซึ้งสติไม่สมประกอบนอนอยู่ภายในมุ้งในบ้านสภาพอับชื้น รกทึบ เมื่อเห็นผู้สื่อข่าวก็ดีใจทีมีคนมาเยี่ยม
นางบัวขัน มหาสีดา เล่าว่า ตนเองกับลูกก็อยู่สุขสบาย ไม่มีใครมายุ่ง อดมื้อ กินมื้อ รายได้มาจากการเผาศพ ที่ชาวบ้านนำศพมาเผาที่เมรุ ครั้งละ 200-300 บาท หรือแล้วแต่เจ้าภาพให้ เดือนหนึ่งก็ประมาณ 1,000 บาท และเงินยังชีพผู้ชรา รวมแล้วเดือนหนึ่งมีรายได้รวมกว่า 1,000 บาท ก็ไปตลาดขอเชื่อข้าวสารและไข่ ปลากระป๋อง มาก่อน เมื่อได้เงินจากงานศพก็จะรีบไปคืนที่ร้าน ตอนนี้ไม่มีใครมาช่วยเหลือก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง ส่วนที่มีโรคระบาดโควิด ก็กลัวแต่ทำยังไงได้ หน้ากากอนามัยก็ไม่มีใครมาแจก ต้องไปหาซื้อที่ตลาด อยู่บ้านก็ไม่ใส่ เวลาไปตลาดก็ใส่ป้องกันไว้
ส่วนเงินที่ลงทะเบียน “เราไม่ทิ้งกัน” ไม่รู้เรื่อง ไม่มีใครมาบอก และไม่มีมือถือที่จะลงทะเบียน เพิ่งทราบจากนักข่าวเดี๋ยวนี้เอง ตนก็อยากได้เหมือนกัน เพื่อไปซื้อของกินของใช้ที่จำเป็นเก็บไว้ประทังชีวิต ทุกวันนี้เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปแล้ว