องค์กรการกุศล Age UK ในสหราชอาณาจักรอ้างว่า การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้แก่ประชาชน ยกเว้นกลุ่มผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป อาจก่อให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวังในกลุ่มผู้สูงอายุอย่างคาดไม่ถึง และยังทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนตกเป็นเหยื่อ

แคโรไลน์ อับราฮัมส์ ผู้อำนวยการของ Age UK กล่าวว่า ไม่ควรนำอายุมากำหนดความสามารถของผู้คนในการดำเนินชีวิตประจำวัน หากรัฐบาลตัดสินใจผ่อนคลายมาตรการรับมือกับโรค COVID-19 บางส่วน

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รัฐได้สั่งการให้ผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี ปฏิบัติตามกฎการรักษาระยะห่างทางสังคม และผู้ที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางมาก ซึ่งมีปัญหาด้านสุขภาพและโรคประจำตัว ต้องอยู่แต่ในบ้านจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน

อับราฮัมส์กล่าวว่า การบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์กับผู้สูงอายุในกลุ่มอายุดังกล่าวจะทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกตกเป็นเหยื่อ นอกเสียจากว่าจะมีหลักฐานทางการแพทย์ที่ชัดเจนจริงๆ ว่า ผู้สูงอายุกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะป่วยหนัก โดยไม่เกี่ยวกับสุขภาพและความยืดหยุ่นของร่างกาย

ทางองค์กรเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศเกี่ยวกับขั้นต่อไปของยุทธศาสตร์ในการป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาที่เป็นคำแนะนำและไม่ใช่ข้อบังคับ ด้านอับราฮัมส์เองก็เตือนถึงสุขภาพจิตของผู้สูงอายุที่อาจจะแย่ลง หากต้องอยู่ห่างจากเพื่อนและครอบครัวเป็นเวลานานหลายเดือน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผู้สูงอายุเกิดความสิ้นหวังได้อย่างไม่น่าเชื่อ

อดีตนายกรัฐมนตรีฝ่ายอนุรักษ์นิยม เคน คลาร์ก กล่าวว่า การดูแลผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี อย่างระมัดระวังเกินไปอาจส่งผลให้ผู้สูงอายุกลุ่มนี้รู้สึกว่าถูกกักบริเวณ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขายังต้องทำงานหรือเลี้ยงดูหลานๆ

สมาคมอัลไซเมอร์ก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการยืดเวลามาตรการล็อกดาวน์ ที่มีต่อผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อม ทั้งการอยู่อย่างโดดเดี่ยวและทักษะทางสังคมที่ไม่แข็งแรง นอกจากนี้ การขยายมาตรการที่อาจกระทบต่อผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี จะต้องมั่นใจว่ามีความต่อเนื่องในเรื่องของช่วงเวลาการซื้อของสำหรับผู้ที่เป็นกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะ

ด้านรัฐบาลก็ยังไม่มีการเปิดเผยถึงแผนการสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ หรือเกณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุในการออกจากมาตรการล็อกดาวน์ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาจจะพิจารณามาตรการป้องกันที่อ่อนลงสำหรับผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น แนวทางการรักษาระยะห่างทางร่างกาย หากมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่าสามารถทำได้